โดย : ทุ่งทะเล
เสียงสะท้อนจากวงการเมืองและสังคมต่อการพ้นตำแหน่ง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ของผู้กองมนัส ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ด้วยการ “สั่งปลด” หรือ “ไล่ออก” ด้วยน้ำมือของ พล.อ.ประ ยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีนั้น
ระเบ็งเซ็งแซ่ไปด้วยความเห็นใจ ต่างจับจ้องไปที่ผู้กองธรรมมนัสจะก้าวเดินบนเส้นทางการเมืองต่อไปอย่างไร จะเกิดอะไรกับพรรคพลังประชารัฐและต่อพล.อ.ประยุทธ์
ไม่มีใครปรามาสหรือดูหมิ่นดูแคลนผู้กองธรรมมนัสเนื่องเพราะต่างยอมรับว่า การดำรงอยู่ในตำ แหน่งนายกฯของ บิ๊กตู่ เป็นเพราะการทำงานของ “เส้นเลือดใหญ่” ที่เลี้ยงหัวใจรัฐบาล ดังที่เขาเคยกล่าวไว้เมื่อตอนฟอร์มคณะรัฐมนตรีใหม่ๆ และตลอด 2 ปีกว่าที่ผ่านมาก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ
คนจำนวนมากจึงแสดงความเห็นใจผู้กองธรรมมนัส ไม่ควรถูกทำลายเกียรติและหักหาญทำร้ายน้ำใจกันแบบนี้ โดยเฉพาะการปล่อยให้เลขาธิการพรรคหลักของรัฐบาลนั่งเก้าอี้รัฐมนตรีช่วยฯ ต้องอยู่ภายใต้การสั่งการของเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี “ว่าการ” ซึ่งเป็นเรื่องยากทำใจในทางการเมือง และ ไม่มีใครเขาทำกัน
อีกทั้งการสั่งปลดร.อ.ธรรมนัสแบบฉับพลันทันด่วนโดยมิได้บอกเล่าเก้าสิบให้ “พี่ป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐได้รับทราบก่อน
กระแสด้านหนึ่งวิเคราะห์ว่า บิ๊กตู่ ต้องการผลักไสผู้กองธรรมนัสไปให้พ้นจากครม. จะได้ไม่เสียเก้าอี้ มท.1 ที่จองไว้ให้ “พี่ป๊อก” พลอ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา คนเดียวเท่านั้น อีกด้านหนึ่ง ต้องการแสดงให้เห็นถึงอำนาจเด็ดขาดของคนเป็นนายกฯ ที่จะไม่ยอมให้ใครมาเรียกร้องเอาโน่นเอานี่
แต่ในสภาวะที่ประเทศประสบปัญหารอบด้านเป็นผลจากโควิด-19 คนไทยได้รับความเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า บิ๊กตู่ เผชิญกับ “วิกฤติศรัทธา” อย่างรุนแรง เรือแป๊ะลำนี้ยากที่จะนำพาประชาชนไปถึงฝั่งแห่งความสุข ไร้หนี้ไร้สิน มีกินมีใช้
โดยเฉพาะความขัดแย้งแตกแยกของคนไทย ไม่มีวี่แววเลยว่าความสมัครสมานสามัคคีของประชาชน จะบังเกิดขึ้นมาได้ ผู้กองธรรมมนัสจึงกล่าวในการแถลงข่าวที่รัฐสภาวันที่ 9 กันยายนหลังรู้ว่าถูกปลดพ้นรัฐมนตรี “ผมมองไม่เห็นอนาคตของบ้านเมือง สังคมมันแตกแยก…”
รวมทั้งความไม่สบายใจที่คุแน่นอยู่ในอกกับการอยู่ร่วมกับพรรคพลังประชารัฐและอยู่ร่วมในคณะ รัฐมนตรีที่มี พล.อ.ประยุทธ์เป็นหัวเรือใหญ่
นับจากนี้ บิ๊กตู่ และบิ๊กป้อมจะรับมือกับผลสะเทือนต่างๆ ที่เรียกกันว่า “อาฟเตอร์ช็อค” อย่างไร หลังจากเกิดเหตุการณ์ “แผ่นดินไหวทางการเมือง” กรณีร.อ.ธรรมนัสพ้นเก้าอี้รมช.เกษตรฯ
ร.อ.ธรรมนัสจะแสดงบทบาทอย่างไรในฐานะส.ส.พะเยา แต่ยังเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งเขาเองมีเพื่อนพ้องพี่น้องส.ส.ที่ผูกพันกันอยู่จำนวนไม่น้อย และยังรวมไปถึงส.ส.พรรคเล็กที่ใกล้ชิดกันที่พร้อมจะเป็นตัวแปรได้ตลอดเวลา เส้นทางการเมืองของร.อ.ธรรมนัสจะเดินต่อไปอย่างไร
จากถ้อยคำของ ร.อ.ธรรมนัสในการแถลงข่าวและการให้สัมภาษณ์สื่อสรุปได้ว่า มีแนวโน้มจะไปตั้งพรรคใหม่
“ผมตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่า ผมจะกลับไปตั้งต้นที่จังหวัดพะเยาใหม่ ทำงานเพื่อพี่น้องชาวพะเยา และจังหวัดอื่นๆ…ผมจะไปต่อสู้เวทีการเมืองอย่างเต็มที่….ผมอาจจะไปอยู่บ้านหลังใหม่ที่มันมีความสุข..อาจ เป็นพรรคพะเยาก็ได้ใครจะไปรู้ หรือเป็นพลังพะเยา อาจเป็นอีสานล้านนาก็ได้ ไม่แน่….เรื่องตั้งพรรคใหม่ผมเตรียมไว้หมดแล้ว..”
ความคิดและตัวตนของขุนพลจังหวัดพะเยากำลังรอเวลาพิสูจน์สำหรับหนทางทางการเมืองข้างหน้าอีกยาวไกล แต่ระยะทางสั้นๆที่เดินมาตลอด 2 ปีเศษก็พิสูจน์ให้เห็นศักยภาพและอุปนิสัยใจคอ
อย่าประมาทกับอดีตนายทหารชั้นสัญญาบัตร ที่ชื่อร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ถ้าบารมีไม่มากพอคงไม่สามารถเป็น “เส้นเลือดใหญ่ หล่อเลี้ยงหัวใจรัฐบาล” และช่วยค้ำยันบิ๊กตู่ให้เป็นนายกฯมาถึงวันนี้
แม้จะไม่ได้เป็นรัฐมนตรี แต่ร.อ.ธรรมนัสก็ถือว่าตนเองนั้น มีศักดิ์ศรี มีคุณค่าซึ่งเหนือกว่าตำแหน่งใดๆ ดังสุภาษิต “ชาติเสือต้องไว้ลาย ชาติชายต้องไว้ชื่อ”
สัญชาตญาณของเสือ ยามเจ็บจะไม่ร้อง แต่พร้อมจะลุกขึ้นยืนอย่างทระนงองอาจในวันที่โอกาสมาถึง แล้วตอนนั้นจะเห็นความสำคัญซึ่งอาจจะสายไปแล้ว