ก้าวย่าง “ธรรมนัส” วิกฤติสร้างผู้นำ โดย ทุ่งทะเล

609

นับจากวันที่ 17 มิถุนายนที่ผ่านมาที่ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า    ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ จนถึงขณะนี้เพียงช่วงเวลาสั้นๆแค่เดือนสองเดือน ก็พิสูจน์ให้เห็นว่าเขาคือทรัพยากรทางการเมืองที่มิอาจมองข้ามได้เลย

ครบเครื่องทั้งเรื่องบู๊ และบุ๋น

พร้อมสรรพทั้งศักยภาพในฐานะเสนาธิการและนักรบที่เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายในสนามการเมือง

การเลือกตั้งครั้งต่อไป เรามั่นใจว่าจะได้จำนวนส.ส.มากกว่านี้ และมีความมั่นใจว่าเราจะชนะเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล” ร.อ.ธรรมนัสกล่าว ในวันที่มวลสมาชิกพลังประชารัฐลงคะแนนเลือกให้เป็นเลขาธิการพรรค

จากคำกล่าวนี้ ด้านหนึ่ง เหล่าพลพรรคพลังประชารัฐูอุ่นใจที่ได้เขามาเป็นผู้นำทัพ

อีกด้านหนึ่ง ก็สร้างความประหวั่นพรั่นพรึงให้กับพรรคคู่แข่งไม่มากก็น้อย

ตลอด 2 ปีเศษที่ผ่านมา ในแง่การบริหารราชการแผ่นดิน ร.อ. ธรรมนัส รัฐมนตรีช่วยว่าการกระ ทรวงเกษตรและสหกรณ์ ผู้รับผิดชอบในการกำกับดูแล สำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม(ส.ป.ก.)  กรมพัฒนาที่ดิน องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก) และกรมฝนหลวงและการบินเกษตร  ได้สร้างผลงานเป็นที่ประจักษ์ อาทิ เช่น

การผลักดันให้มีการยกเครื่องพ.ร.บ.ปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2518 ให้ทันยุคทันสมัย การอนุญาตให้ใช้ที่ดินเพื่อกิจการสาธารณูปโภคและกิจการอื่นๆในเขตปฏิรูปที่ดิน การอนุมัติโครงการก่อสร้างบ่อบาดาลและระบบสูบน้ำโซลาร์เซลล์เพื่อการเกษตรบรรเทาภัยแล้ง จัดหาที่ดินพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในเขตปฏิรูปที่ดินทั้งแหล่งน้ำและถนน อนุญาตใช้ที่ดินสร้างสถานศึกษาเพื่อลูกหลานเกษตรกร

ที่เข้ากับสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 ที่ต้องการสมุนไพรไทยไปใช้รักษา ก็มีนโยบายแจกพันธุ์พืชฟ้าทะลายโจรและสนับสนุนให้มีการเพาะปลูกต้นกล้าฟ้าทะลายโจรเพื่อให้ชาวบ้านนำผลผลิตไปขาย อันเป็นการสร้างรายได้เพิ่มในช่วงที่ตลาดมีความตื่นตัวเรื่องยาสมุนไพรไทยที่ช่วยรักษาอาการป่วยจากโควิด-19 รวมทั้งสนับสนุนการเพาะปลูก ขิง ข่า กระชายขาว ตะไคร้ในพื้นที่เขตปฏิรูปที่ดิน ฯลฯ

เมื่อเร็วๆนี้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ประธานคณะกรรมการติดตามการแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน ได้ตั้งคณะอนุกรรมการติดตามแก้ปัญหาเพื่อช่วยเหลือ เร่งรัด ติดตามการดำเนินงานร่วมกับกระทรวงต่างๆให้ได้ข้อยุติโดยเร็ว 3 คณะ ก็มอบให้ร.อ.ธรรมนัสเป็นประธานทั้ง 3 คณะ

               เมื่อเกิดเหตุไฟไหม้โกดังเก็บสารเคมี บริษัทหมิงตี้ เคมิคอล จำกัด ที่ตำบลราชาเทวะ  อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ ร.อ.ธรรมนัสก็ไม่รอช้า รีบเดินทางไปที่เกิดเหตุและสั่งการให้ผู้เกี่ยวข้องเร่งแก้ปัญหาทันที

               นี่คือ การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าแบบ “ถึงลูกถึงคน”

หลายครั้งหลายหน ร.อ. ธรรมนัสได้แสดงให้ผู้ใหญ่ไม่ว่าจะเป็น ลุงป้อมหรือลุงตู่เห็นว่า ในภาวะคับขันที่มีกลุ่มชาวบ้านรวมตัวกันมาประท้วงเรียกร้อง กระทบต่อภาพลักษณ์ของรัฐบาล     เมื่อได้รับมอบหมายให้ไปทำความเข้าใจเพื่อแก้ปัญหา เขาไม่เคยทำให้ “นาย” ผิดหวัง

               ในฐานะเป็นผู้กำหนดนโยบาย ร.อ.ธรรมนัสเป็นคนง่ายๆ ติดดิน ฉับไว ตรงตรงไปตามา กล้าตัดสิน ใจ

               ในทางการเมือง ร.อ.ธรรมนัส ค่อยๆสั่งสมบารมีให้เพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ

               “เส้นเลือดใหญ่ในรัฐบาล” ร.อ.ธรรมนัสเปรียบเทียบตัวเองเอาไว้ ไม่ได้เกินเลยไปจากความเป็นจริง

นักประสานประโยชน์ที่พูดคำไหนคำนั้น ไม่มีบิดพลิ้ว

ที่สำคัญ ยังเป็นคนประเภท “ใจถึง พึ่งได้”

ปัญหาอยู่ตรงไหน ใคร เรื่องอะไร ไม่ว่าเรื่องเล็กหรือใหญ่ ถ้าถึงมือ “ผู้กองธรรมนัส”เมื่อใด รับรองว่าแก้ได้ในฉับพลัน

พรรคเล็กพรรคน้อยไม่กระจองอแง ทำให้รัฐบาลผสมมีเสถียรภาพอยู่ได้อย่างไม่คลอนแคลน      ก็เพราะฝีมือเขาอีกนั่นแหละ

นอกจากนี้ เขายังเป็นคนจับกระแสสังคมได้เก่ง    ดังจะเห็นได้จากในขณะที่งบประมาณซื้อ “เรือดำน้ำ” ของกองทัพเรือถูกต้านจากส.ส.ฝ่ายค้านและสื่อ  ไม่มีรัฐมนตรีจากพรรคร่วมรัฐบาลคนไหนกล้าค้าน ทั้งที่รู้ว่าชาวบ้านกำลังเดือดร้อนจากพิษโควิด  แต่ร.อ.ธรรมนัสใจกล้า แสดงความกล้าหาญ ออกมาให้สัมภาษณ์เบรกซื้อเรือดำน้ำทันที ปรากฏเป็นข่าวใหญ่ในหน้าสื่อ

แม้ต่อมาคณะกรรมาธิการพิจารณางบฯจะยืนยันผ่านงบฯก้อนนี้ให้กองทัพเรือ แต่ก็ถือว่าร.อ.ธรรมนัสได้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่แล้ว

               ร.อ.ธรรมนัสได้สะสมแต้ม คะแนนความนิยมมาตามลำดับ

บนเส้นทางการเมืองที่คดเคี้ยว           ท่ามกลางวิกฤตการณ์หลายๆด้านที่โถมทับประเทศ ประชาชนกำลังทุกข์ทวี  ก้าวย่างของร.อ.ธรรมนัสที่มีผลงานเป็นรูปธรรมและบารมีที่เสริมสร้างขึ้นตามลำดับ     จึงน่าจับตาอย่างยิ่ง