ชงตั้งรัฐวิสาหกิจ “สำนักงานไม้เศรษฐกิจแห่งชาติ” ส่งเสริมคาร์บอนเครดิตภาคประชาชน เปลี่ยนต้นไม้เป็นทุน

677

ศูนย์ประสานร่างพระราชบัญญัติจัดตั้ง สำนักงานไม้เศรษฐกิจแห่งชาติ ยื่นร่าง พ.ร.บ. ต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร หลังรวบรวมรายชื่อผู้เสนอครบ ๒๐,๐๐๐  คน เชื่อมั่น พ.ร.บ.ฉบับนี้ เพิ่มโอกาสสร้างรายได้ใหม่ให้ประชาชนหลายแสนบาทต่อปี ทั้งการขายคาร์บอนเครดิต เปลี่ยนต้นไม้เป็นทุน ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากเติบโตอย่างยั่งยืน

เมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2567 ศูนย์ประสานร่างพระราชบัญญัติจัดตั้ง สำนักงานไม้เศรษฐกิจแห่งชาติ พ.ศ….นำโดย ดร.เฉลิมชัย  สมมุ่ง ในฐานะผู้เชิญชวนเสนอกฎหมาย เดินทางมายื่นร่าง พ.ร.บ. จัดตั้ง สำนักงานไม้เศรษฐกิจแห่งชาติ พ.ศ….ภายหลังคณะผู้เชิญชวนได้ดำเนินการชักชวนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ร่วมเข้าชื่อเสนอร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวได้จำนวน ๒๐,๐๐๐  คน ต่อประธานสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณานำเข้าสู่การพิจารณาของสภาฯใหญ่ และประกาศใช้ตามเจตนารมณ์ของภาคประชาชนต่อไป

ดร.เฉลิมชัย กล่าวถึงวัตถุประสงค์การนำเสนอ พ.ร.บ.จัดตั้งสำนักงานไม้เศรษฐกิจแห่งชาติ เป็นรัฐวิสาหกิจ ขึ้นกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อสนับสนุนการทำคาร์บอนเครดิตภาคประชาชน  สนับสนุนการปลูกต้นไม้ เป็น พ.ร.บ.ฉบับแรกในการจัดการด้านคาร์บอนเครดิตโดยตรงจากการปลูกต้นไม้  อำนวยความสะดวกประชาชนในการขายคาร์บอนเครดิตให้กับหน่วยงานต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ

“พรบ.ฉบับนี้ จะทำให้ชาวบ้าน เกษตรกร หันมาปลูกต้นไม้ เพราะเขาจะมีรายได้จากคาร์บอนเครดิต  ซึ่งเขาสามารถขายตรงกับหน่วยงานต่างๆได้เลย เนื่องจากมีกฎหมายรองรับ เงินจะไหลเข้าไปสู่ภาคประชาชนมากกว่าดิจิทัลวอลเลตเป็นร้อยเท่า ทุกบ้านจะมีรายได้หลายแสนบาทต่อปี และยังสามารถเปลี่ยนเป็นโครงการต้นไม้แลกเงิน กับบริษัทที่ได้รับการขึ้นทะเบียนให้บริการสินเชื่อด้านนี้ได้อีกด้วย  เช่น นาย ก. ขายคาร์บอนเครดิตมีรายได้ปีละ 1 ล้านบาท เขาสามารถนำต้นที่ผลิตคาร์บอนเครดิตนั้น มาแปลงเป็นเงินคูณ 5 เท่า ในอัตราดอกเบี้ย 3.5 เปอร์เซ็นต์ต่อปี และเมื่อถึงเวลาคืนเงิน เกษตรกรก็ไม่ต้องคืนเป็นเงินสด แต่คืนเป็นคาร์บอนเครดิต คือให้ต้นไม้ใช้หนี้แทน นี่คือกลยุทธ์ดีที่สุดในประเทศไทย รัฐบาลไม่ต้องบังคับให้เขาปลูกต้นไม้ เพราะเขาจะปลูกกันเอง และคอยดูแลต้นไม้อย่างดี เนื่องจากเป็นแหล่งผลิตเงินของเขา” ดร.เฉลิมชัย กล่าว 

ดร.เฉลิมชัย กล่าวอีกว่า พรบ.ฉบับนี้จะทำให้กลุ่มรากหญ้าแข็งแรงอย่างมหาศาล โดยที่รัฐบาลไม่ต้องไปอุ้ม ไม่ต้องคอยแจกเงิน เพราะนโยบายที่ทำมาจากความต้องการของประชาชนโดยตรง แก้ปัญหาความยากจนอย่างเห็นผล ยั่งยืน และเป็นผลดีต่อสิ่งแวดล้อมของโลก