TIPH เข้าซื้อขายวันแรก ชูจุดแข็งโครงสร้างธุรกิจและผู้ถือหุ้นสุดแกร่ง

735

บมจ. ทิพย กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ หรือ TIPH  ฤกษ์ดีเข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในวันนี้ (7 ก.ย. 2564) เป็นวันแรก แทนหุ้น บมจ. ทิพยประกันภัย หรือ “TIP” ซึ่งปรับไปเป็นบริษัทลูกที่เป็นแกนกลางของกลุ่มธุรกิจประกันภัยภายใต้ TIPH ด้าน “สมพร สืบถวิลกุล” ระบุโครงสร้างกลุ่มธุรกิจ และแผนการดำเนินธุรกิจของ TIPH ถูกกำหนดขึ้นเพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคดิจิทัล และการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของธุรกิจประกันภัย หลังการเกิดขึ้นของวิกฤตโควิด-19 จากนี้เตรียมเดินหน้าพัฒนาระบบนิเวศทางธุรกิจ (Business Ecosystem) เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในทุกมิติ พร้อมยืนยันโครงสร้างผู้ถือหุ้นที่แข็งแกร่งจะช่วยสนับสนุนความสามารถทางการแข่งขัน และเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับกลุ่มธุรกิจของทิพย กรุ๊ปได้

            ดร. สมพร สืบถวิลกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทิพย กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TIPH ยืนยันว่าภายใต้โครงสร้างกลุ่มธุรกิจของ TIPH ธุรกิจหลักยังคงเป็นธุรกิจประกันภัย ที่บริษัทฯ มีความเชี่ยวชาญ และประสบความสำเร็จมาอย่างยาวนาน ในสัดส่วนไม่น้อยกว่า 75% ของทรัพย์สินรวมของกลุ่มบริษัท โดยมีบริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ TIP เป็นบริษัทที่เป็นแกนกลางของกลุ่มภายใต้ TIPH โดยที่โครงสร้างธุรกิจประกันภัยของTIPH จะมีการแบ่งแยกและจำกัดความเสี่ยงของแต่ละสายธุรกิจอย่างชัดเจน ประกอบด้วย ธุรกิจประกันวินาศภัยในประเทศไทย (Non-Life Insurance) ธุรกิจประกันชีวิตในประเทศไทย (Life Assurance) ธุรกิจประกันภัยในต่างประเทศ(International Insurance) และธุรกิจที่สนับสนุนธุรกิจประกันภัย (Insurance Supporting) ขณะที่ธุรกิจอื่นๆ ที่อยู่นอกเหนือกลุ่มประกันภัย อาจจะขยายการลงทุนไปในอนาคตในสัดส่วนไม่เกิน 25% ของทรัพย์สินรวมของกลุ่มบริษัท แต่ต้องเป็นธุรกิจที่สอดคล้องกับกลยุทธ์ของธุรกิจหลัก และสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับกลุ่มธุรกิจของ TIPH ด้วย

            “บริษัทฯ มีความเชื่อมั่นว่าการจัดโครงสร้างกลุ่มธุรกิจดังกล่าว นอกจากจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความยืดหยุ่นในการจัดการองค์กรให้เหมาะสมกับการประกอบธุรกิจในแต่ละประเภทธุรกิจแล้ว จะช่วยให้เกิดความได้เปรียบทางการแข่งขัน (Competitive Advantage) ที่เกิดจากการพัฒนากลุ่มธุรกิจให้มีความเชี่ยวชาญในแต่ละด้าน (Specialization) อย่างแท้จริง รวมทั้งจะส่งผลให้เกิดการประหยัดต่อขนาด (Economies of Scale) จากการจัดตั้งหน่วยธุรกิจที่ให้การสนับสนุนกับบริษัทในเครือ (Shared Services) ขึ้นมา โดยเป็นการพัฒนาต่อเนื่องจากหน่วยงานสนับสนุนธุรกิจที่ถือว่าเป็นจุดแข็งที่เป็นข้อได้เปรียบ (Unique Competencies) ของ TIP อยู่แล้ว เช่น การให้บริการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศการให้บริการสรรหาและพัฒนาบุคลากร หน่วยงานวิจัยและพัฒนา เป็นต้น” ดร.สมพร กล่าว

            โดยที่กลยุทธ์หลักในการขยายธุรกิจของ TIPH จะอยู่บนเป้าหมายของการสร้างนวัตกรรมใหม่ (Innovation) ในแต่ละกลุ่มธุรกิจประกันภัยของบริษัทฯ เพื่อทำเกิดการเติบโตแบบก้าวกระโดด (Exponential Growth) และการเติบโตที่ยั่งยืน (Sustainable Growth) ควบคู่กันไป โดยมุ่งเน้นการขยายการลงทุนในธุรกิจประกันภัยและธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับประกันภัยทั้งในและต่างประเทศ ผ่านการสร้างพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ (Strategic Alliance) การจัดตั้งบริษัทร่วมทุน (Joint Venture) และการควบรวมและการเข้าซื้อกิจการ (Mergers and Acquisitions) รวมทั้งผ่านการแยกหน่วยธุรกิจของบริษัทในกลุ่มที่มีศักยภาพออกเป็นบริษัทใหม่ (Spin-Off) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับกลุ่มธุรกิจของ TIPH

            สำหรับแผนการขยายธุรกิจใน 12 เดือนข้างหน้า บริษัทฯ มีแผนการดำเนินการชัดเจนแล้วตามที่ได้แจ้งกับผู้ถือหุ้นไประหว่างช่วงเวลาการทำ Tender Offer ที่ผ่านมา โดยปัจจุบันบริษัทฯ อยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในการดำเนินการจัดตั้งหรือเข้าซื้อกิจการที่ประกอบธุรกิจสนับสนุนธุรกิจประกันภัย 2-3 ธุรกิจ รวมทั้งการศึกษาความเป็นไปได้ในการตั้งบริษัทประกันภัยใหม่ หรือการเข้าซื้อกิจการที่มีใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันภัย เพื่อรองรับการแยกหน่วยธุรกิจที่มีศักยภาพของบริษัทในกลุ่มออกเป็นบริษัทใหม่ (Spin-Off) อีกอย่างน้อย 1 ธุรกิจด้วย

            “ผมเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าภายใต้โครงสร้างกลุ่มธุรกิจที่มีประสิทธิภาพ กลยุทธ์การดำเนินธุรกิจที่ดี บุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจประกันภัย และโครงสร้างผู้ถือหุ้นที่แข็งแกร่ง โดยที่ปัจจุบัน บมจ.ปตท. ธนาคารออมสิน ธนาคารกรุงไทย และกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทฯ จะทำให้ TIPH สามารถเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลงธุรกิจประกันภัยไปสู่มิติใหม่ ที่สามารถสร้างประโยชน์สูงสุดของประชาชนในฐานะผู้เอาประกันภัยและสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืนให้แก่ผู้ถือหุ้นในอนาคตได้” ดร.สมพร กล่าว