SINO โชว์รายได้ไตรมาส 3 พุ่ง 20% เพิ่มวอลุ่มขนส่งสินค้าทั้งปี 40,000 ตู้

171

SINO โชว์ไตรมาส 3/2566 ทำรายได้จากการให้บริการเพิ่มขึ้น 20% มั่นใจปีนี้ทำวอลุ่มขนส่งสินค้าทั้งปีเพิ่มเป็น 40,000 ตู้ตามแผน เดินหน้าลงทุนตั้งบริษัทย่อยในมาเลเซีย รุกขยายธุรกิจในภูมิภาคอาเซียน

‘บมจ.ไซโน โลจิสติกส์ คอร์ปอเรชั่น’ หรือ SINO โชว์ผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2566 ทำรายได้จากการให้บริการ 480 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้านี้ หลังมีปริมาณการขนส่งสินค้าเพิ่มเป็น 12,500 ตู้ ตอกย้ำการเป็นเบอร์ 1 ผู้ประกอบการไทยที่ขนส่งสินค้าระหว่างประเทศทางทะเลบนเส้นทางไทย-สหรัฐอเมริกา พร้อมขยับขึ้นเป็นอันดับ 4 ของโลก และมีกำไรสุทธิในไตรมาสที่ 3/2566 เท่ากับ 7.2 ล้านบาท และ 9 เดือนแรก มีกำไรสุทธิ 53 ล้านบาท ชะลอตัวลงจากค่าระวางเรือที่ปรับตัวลดลงตามกลไกตลาด มั่นใจปีนี้มีปริมาณขนส่งสินค้าเพิ่มเป็น 40,000 ตู้ พร้อมเดินหน้าแผนสร้างการเติบโตหลังเข้า SET ผลักดันไทยเป็นฮับส่งออกจากกลุ่มประเทศอาเซียนไปตลาดสหรัฐฯ ล่าสุดมติบอร์ดอนุมัติแผนจับมือพันธมิตรในประเทศมาเลเซียตั้งบริษัทย่อยรุกขยายฐานลูกค้า และเพิ่มทุนบริษัท ICL ซึ่งเป็นบริษัทย่อย เพื่อลงทุนขยายพื้นที่รับฝากตู้คอนเทนเนอร์ 

นายนันท์มนัส วิทยศักดิ์พันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทไซโน โลจิสติกส์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SINO เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/2566 (กรกฏาคม-กันยายน) บริษัทฯ มีรายได้จากการให้บริการ 480 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้านี้ (QoQ) ซึ่งมีปัจจัยมาจากขีดความสามารถการแข่งขันในการเป็นผู้ให้บริการโลจิสติกส์ระหว่างประเทศอย่างครบวงจร (Integrated Logistics Service Provider) จากการให้บริการจัดการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ (Freight Forwarder) ทั้งทางทะเล ทางอากาศ และทางบก รวมถึงการให้บริการให้เช่าคลังสินค้า การให้บริการด้านพิธีการศุลกากร และการให้บริการสนับสนุนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับด้านโลจิสติกส์ ซึ่งสามารถตอบสนองความต้องการลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ SINO มีปริมาณขนส่งสินค้าเพิ่มขึ้นเป็น 12,500 ตู้ เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าที่มี 9,700 ตู้ ทำให้ล่าสุด SINO เป็นผู้ให้บริการโลจิสติกส์ระหว่างประเทศอย่างครบวงจรที่มีปริมาณขนส่งสินค้าทางทะเลบนเส้นทางไทย-สหรัฐอเมริกาเป็นอันดับ 1 ในไทย และก้าวขึ้นเป็นอันดับ 4 ของโลก จากเดิมที่อยู่อันดับ 6 โดยรายได้จากการให้บริการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศทางทะเล (Sea Freight) ทำสัดส่วนรายได้อยู่ที่ 88.9% รายได้จากการให้บริการเช่าคลังสินค้า 5.7% รายได้จากการให้บริการสนับสนุนอื่นๆ 4.7% และรายได้จาการให้บริการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศทางอากาศ (Air Freight) อยู่ที่ 0.8%

ขณะที่กำไรสุทธิในไตรมาส 3/2566 ทำได้ 7.2 ล้านบาท และ 9 เดือนแรกของปีนี้ทำได้ 53 ล้านบาท ชะลอตัวลงจากปัจจัยภาวะเศรษฐกิจโลกและการลดลงของค่าระวางเรือตามกลไกตลาด อย่างไรก็ตาม ในไตรมาสสุดท้ายปีนี้ SINO คาดหวังว่า แนวโน้มค่าระวางเรือและความต้องการสินค้ามีสัญญาณปรับตัวดีขึ้นในช่วงไฮซีซั่น โดย ณ สิ้นไตรมาส 3  ปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 100.04 จาก 99.6 (อ้างอิงข้อมูลจากธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM Index)) สะท้อนมูลค่าการส่งออกของไทยในไตรมาส 4 ที่มีแนวโน้มขยายตัวที่ดีขึ้น ทั้งนี้ บริษัทฯ จะมุ่งเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันเพื่อสนับสนุนการให้บริการโลจิสติกส์อย่างครบวงจรและมีประสิทธิภาพเพื่อผลักดันการเติบโต โดยมั่นใจว่าจะสามารถเพิ่มปริมาณการขนส่งสินค้าได้ 40,000 ตู้ตามเป้าหมาย ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยังมีแผนเพิ่มเครือข่ายและขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันและสร้างการเติบโตในระยะยาว

ล่าสุด ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ (บอร์ด) มีมติอนุมัติเข้าร่วมทุนกับพันธมิตรทางธุรกิจซึ่งเป็นผู้ประกอบการในธุรกิจ Freight Forwarding ในประเทศมาเลเซีย โดยจัดตั้งบริษัท SINO WORLDWIDE LOGISTICS SDN, BND เพื่อดำเนินธุรกิจให้บริการรับจัดการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศในประเทศมาเลเซีย โดย SINO ถือหุ้นร้อยละ 51 จากทุนจดทะเบียน 900,000 ริงกิตมาเลเซีย (ประมาณ 6.9 ล้านบาท อัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่ 12 พฤศจิกายน 2566) เพื่อขยายฐานลูกค้าและสนับสนุนขีดความสามารถการแข่งขันในระยะยาว และเพิ่มอำนาจเจรจาต่อรองค่าระวางเรือที่เพิ่มขึ้นในเส้นทางเอเชีย-ทวีปอเมริกาเหนือ ซึ่งสอดคล้องกับแผนการขยายตลาดไปยังภูมิภาคอาเซียนเพื่อผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลาง (HUB) การขนส่งสินค้าทางทะเลให้แก่กลุ่มประเทศในอาเซียนไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ ยังได้อนุมัติแผนเพิ่มทุนจดทะเบียนบริษัท อินเตอร์ คอนเนคชั่นส์ โลจิสติกส์ จำกัด หรือ ICL ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ SINO เพื่อรองรับแผนขยายพื้นที่รับฝากตู้สินค้าคอนเทนเนอร์ที่จังหวัดระยอง ซึ่งให้บริการตู้ ISO Tank หรือตู้บรรจุของเหลว อันจะช่วยส่งเสริมความสามารถการแข่งขันและการทำกำไรขั้นต้นให้ดียิ่งขึ้น