ครั้งแรกในไทยที่ผู้เชี่ยวชาญการอนุรักษ์พื้นที่คาร์บอนทะเลรวมตัวบนเวทีเดียวกัน! Dow ผนึกภาคี ภาครัฐ ภาคธุรกิจ นักวิชาการ NGO และชุมชน ในงาน Blue Carbon Conference 2022 “คาร์บอนทะเล: หนุนธุรกิจสู่ Net Zero เสริมระบบนิเวศและชุมชน” เร่งรวบรวมความเห็นสู่การจัดทำข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่ออนุรักษ์ป่าชายเลนและหญ้าทะเลอย่างมีส่วนร่วม และแบ่งปันประสบการณ์เพื่อยกระดับการอนุรักษ์ มุ่งส่งเสริมการกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์อย่างมีประสิทธิภาพและครบวงจร ตั้งแต่การปลูก ดูแล ใช้ประโยชน์พื้นที่ และการสร้างประโยชน์ของชุมชนอย่างยั่งยืน รวมถึงการคำนวณคาร์บอนเครดิตเข้าสู่มาตรฐานสากล
กลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย (Dow) ร่วมกับ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) และองค์การระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN) เปิดเวทีเสวนาร่วมกับองค์กรภาคีเครือข่าย ภายใต้ โครงการ Dow & Thailand Mangrove Alliance ในงาน Blue Carbon Conference 2022 “คาร์บอนทะเล: หนุนธุรกิจสู่ Net Zero เสริมระบบนิเวศและชุมชน” นับเป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่มีการรวมผู้เชี่ยวชาญทั้งด้านป่าชายเลน พื้นที่ราบน้ำขึ้นถึง และหญ้าทะเลบนเวทีเดียวกัน เพื่อแบ่งปันแนวทางการฟื้นฟูและอนุรักษ์แหล่งกักเก็บคาร์บอนทะเล (Blue Carbon) ที่กักเก็บได้มากกว่าระบบนิเวศป่าบกถึงเกือบ 10 เท่า ซึ่งจะสร้างประโยชน์ทั้งทางสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสังคม ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นการรวบรวมความเห็นเพื่อการจัดทำข้อเสนอเชิงนโยบายในการอนุรักษ์และนำพาประเทศไทยบรรลุสู่เป้าความเป็นกลางทางคาร์บอนและ Net Zero
งานเสวนาในครั้งนี้มีเนื้อหาครอบคลุมระบบนิเวศคาร์บอนทะเลและนโยบายการฟื้นฟู กลไกคาร์บอนเครดิตภาคทะเลและชายฝั่ง องค์ความรู้เพื่อยกระดับการฟื้นฟูและอนุรักษ์พื้นที่คาร์บอนทะเล ชุมชนกับการบริหารจัดการทรัพยากรและผลประโยชน์จากระบบนิเวศ รวมทั้งบทบาทภาคเอกชนในการอนุรักษ์คาร์บอนทะเลกับการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่คาร์บอนเป็นศูนย์ โดยมีผู้เชี่ยวชาญทั้งจากในและต่างประเทศกว่า 20 ท่าน ร่วมด้วยองค์กรที่ให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์พื้นที่คาร์บอนทะเลกว่า 150 องค์กร
ดร.ดินโด แคมปิลัน ผู้อำนวยการประจำภูมิภาคเอเชีย และผู้อำนวยการศูนย์กลางภูมิภาคเอเชียและโอเชียเนีย องค์การระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN) กล่าวว่า “บลูคาร์บอน คือ การกักเก็บคาร์บอนโดยระบบนิเวศทางทะเลและชายฝั่งที่มีประสิทธิภาพกักเก็บสูงกว่าป่าบก แต่ปัจจุบันทรัพยากรเหล่านี้ถูกทำลายไปมาก จำเป็นต้องมีการอนุรักษ์ฟื้นฟูทรัพยากรเหล่านี้เพื่อคงไว้ซึ่งการรักษาระบบนิเวศบริการ จากการกักเก็บคาร์บอน เพื่อให้เกิดประโยชน์ในระยะยาว และเพื่อบรรลุเป้าหมายข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) ซึ่งเป็นไปตามหลักการที่เรียกว่า Nature-based Solution หรือการแก้ปัญหาที่มีธรรมชาติเป็นพื้นฐาน เพื่อให้ธรรมชาติสามารถทำหน้าที่ได้อย่างเต็มที่ในการแก้ปัญหาที่มนุษยชาติกำลังเผชิญอยู่ เช่น แหล่งเพาะพันธุ์อาหารถูกทำลาย น้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้น ภัยพิบัติทางธรรมชาติ ล้วนแล้วแต่มาจากปัญหาภาวะโลกร้อน”
นายฉัตรชัย เลื่อนผลเจริญชัย ประธานบริหารกลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย (Dow) กล่าวว่า “ กลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย ให้ความสำคัญกับการช่วยลดปัญหาโลกร้อน หยุดขยะพลาสติก และส่งเสริมวงจรรีไซเคิลตามหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียน จึงได้ร่วมกับทช.และ IUCN ก่อตั้งเครือข่าย Dow & Thailand Mangrove Alliance ตั้งแต่ปี 2563 ซึ่งในปัจจุบันเราเป็นภาคีเครือข่ายด้านการอนุรักษ์ระบบนิเวศชายฝั่งที่มีองค์กรเข้าร่วมมากที่สุดในประเทศไทย และมีแผนงานที่จะแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการทำงานกับเครือข่ายป่าชายเลนโลก Global Mangrove Alliance ในลำดับต่อไป
“ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเวทีนี้ จะช่วยเพิ่มพูนองค์ความรู้ในการอนุรักษ์อย่างถูกวิธี จุดประกายความร่วมมือใหม่ๆ และเป็นโอกาสในการขยายเครือข่ายขององค์กรที่มีแนวคิดแบบเดียวกัน เพื่อสนับสนุนภาคธุรกิจสู่ Net Zero ฟื้นฟูระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมชายฝั่ง รวมทั้งส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชนเพื่อขับเคลื่อนประเทศของเราสู่ความมั่นคงและยั่งยืน”
นายอภิชัย เอกวนากุล รองอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) กล่าวว่า “ในฐานะที่ทช. มีภารกิจในการอนุรักษ์ ฟื้นฟู คุ้มครอง ดูแล รักษาทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งรวมถึงป่าชายเลน เพื่อเป็นการแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเกี่ยวกับการลดก๊าซเรือนกระจกภาคป่าไม้ จึงได้จัดทำโครงการปลูกป่าชายเลนเพื่อประโยชน์จากคาร์บอนเครดิต กำหนดเป้าหมายระยะ 10 ปี (ปี2565-2574) เนื้อที่ 300,000 ไร่ ในท้องที่ 23 จังหวัดชายฝั่งทะเล โดยทช. ได้ออกระเบียบเกี่ยวกับการปลูกป่าชายเลนเพื่อประโยชน์จากคาร์บอนเครดิต สำหรับบุคคลภายนอก และระเบียบการปลูกป่าชายเลยเพื่อประโยชน์จากคาร์บอนเครดิตสำหรับชุมชน พ.ศ. 2565 ขึ้น เพื่อเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนและชุมชนสามารถยื่นเข้าโครงการ สำหรับในปี พ.ศ. 2565 มีพื้นที่เป้าหมายในการดำเนินการ สำหรับบุคคลภายนอกประมาณ 44,000 ไร่ และสำหรับชุมชนประมาณ 44,000 ไร่ เช่นกัน ซึ่งขณะนี้ ได้รับความสนใจ มีผู้เข้าร่วมจำนวนมาก โดยเมื่อได้รับอนุมัติให้เข้าร่วมโครงการจากทช.แล้ว ผู้เข้าร่วมจะต้องยื่นจดทะเบียนโครงการฯ กับองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) ซึ่งเป็นหน่วยงานประเมินคาร์บอนเครดิต สำหรับการดำเนินโครงการ โดยทช.เน้นการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่ ในทุกขั้นตอนของการดำเนินการ
โครงการนี้นอกจากได้พื้นที่ป่าที่สมบูรณ์กลับคืนมาในระยะเวลาอันรวดเร็ว ยังประหยัดงบประมาณภาครัฐได้ถึงปีละประมาณ 600-700 ล้านบาท อีกทั้งเป็นการสร้างรายได้ให้กับประชาชนในพื้นที่ดำเนินโครงการ สำหรับกรอบระยะเวลาการดำเนินการ ผู้ร่วมโครงการจะต้องดำเนินการปลูกและบำรุงดูแลรักษาอย่างต่อเนื่องในระยะ 10 ปีขึ้นไป จะทำให้พื้นที่ป่าชายเลน ที่เสื่อมโทรมได้รับการปลูกฟื้นฟูคืนสู่ความสมบูรณ์และประชาชนใช้ประโยชน์ได้อย่างยั่งยืนต่อไป”
“นอกจากป่าชายเลนยังมีแหล่งหญ้าทะเลซึ่งนับรวมเป็นระบบนิเวศบลูคาร์บอน หญ้าทะเลได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นในประเทศไทยในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมาในฐานะแหล่งดูดซับและกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นเรื่องใหม่ของประเทศเรา ปัจจุบันเรามีการวิจัยและทดลองปลูกและฟื้นฟูหญ้าทะเลในหลายพื้นที่ซึ่งพบว่าการปลูกหญ้าทะเลให้สำเร็จต้องอาศัยการมีส่วนร่วมของชุมชน และความเหมาะสมของระบบนิเวศในพื้นที่ ต้องขอบคุณภาคเอกชนหลายๆ องค์กรที่เห็นความสำคัญและร่วมสนับสนุน เช่น กลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย ที่เป็นแกนนำในการจัดเวทีเสวนาในวันนี้ จากนี้ไปทช. ก็จะเดินหน้าเรื่องหญ้าทะเลต่อไป ซึ่งในอนาคตก็จะมีความชัดเจนเช่นเดียวกับป่าชายเลนที่เราดำเนินการมาก่อนหน้านี้” ดร.พรศรี สุทธนารักษ์ รองอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) กล่าวเสริม
เวทีนี้นับเป็นมิติใหม่ของประเทศไทยในการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างผู้เชี่ยวชาญ การเผยแพร่ข้อมูลแก่ผู้สนใจ การจัดทำข้อเสนอเชิงนโยบาย และการเพิ่มพูนเครือข่ายในการอนุรักษ์ระบบนิเวศชายฝั่งทะเลไทยในพื้นที่คาร์บอนทะเล
ข้อมูลจากเวทีนี้สามารถนำไปต่อยอดใช้ในการทำโครงการด้านการอนุรักษ์พื้นที่คาร์บอนทะเลให้ประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้น เพื่อให้เกิดประโยชน์ทั้งต่อองค์กรที่นำความรู้ไปใช้ สิ่งแวดล้อม และชุมชน และยังเป็นการส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือใหม่ๆ ระหว่างองค์กรที่มาร่วมในงาน ทำให้เกิดโครงการอนุรักษ์ที่เข้มแข็งยิ่งขึ้นในประเทศไทย เป็นการยกระดับการอนุรักษ์พื้นที่คาร์บอนทะเลในประเทศไทย เพื่อนำพาประเทศสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนต่อไป