ทิพยประกันภัยโตแกร่ง กำไรไตรมาสแรก 658 ล้านบาท

309

ทิพยประกันภัยโตแกร่ง ไตรมาสแรกเบี้ยประกันภัยแตะ 8.4 พันล้านบาท กำไร 658 ล้านบาท เติบโต 52.3% ด้าน TIPH พร้อมลุยลงทุนต่อเพื่อสร้างการเติบโตต่อเนื่อง

ทิพยประกันภัย หรือ TIP โชว์ผลงานไตรมาส 1/2566 มีกำไรสุทธิ 658 ล้านบาท เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ 52.3% จากไตรมาสก่อนหน้า กำไรสุทธิต่อหุ้น 1.10 บาท โชว์เบี้ยประกันภัยรับรวมอยู่ที่ 8,404 ล้านบาท เดินหน้าให้บริการลูกค้า พัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยและยกระดับประสบการณ์การประกันภัยให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภค ต่อยอดความแข็งแกร่งด้านการรับประกันภัยลูกค้าองค์กร ทั้งยังร่วมมือกับพันธมิตรในหลากหลายอุตสาหกรรมเพื่อขยายฐานลูกค้าและทำให้การประกันภัยนั้นครอบคลุมทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินธุรกิจ หรือการดำรงชีวิตประจำวันของลูกค้าทุกกลุ่ม ขณะที่ TIPH พร้อมลุยลงทุนต่อเพื่อสร้างโอกาสในการเติบโตและรักษาความเป็นผู้นำในธุรกิจประกันวินาศภัย

ดร.สมพร สืบถวิลกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทิพย กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TIPH และ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ TIP เปิดเผยผลการดำเนินงานของทิพยประกันภัย โดยในส่วนของรายได้ TIP ในไตรมาส 1/2566 มีเบี้ยประกันภัยรับรวม 8,404 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 311 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 3.8 โดยเบี้ยประกันภัยทางทะเลและขนส่ง เติบโตร้อยละ 15.5 เบี้ยประกันภัยเบ็ดเตล็ด เติบโตร้อยละ 6.2 และเบี้ยประกันภัยรถยนต์ เติบโตร้อยละ 2.5 ประกอบกับมีรายได้และกำไรจากเงินลงทุนรวม 217 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 43 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราร้อยละ 24.4 ส่งผลให้ TIP มีรายได้รวมทั้งหมดที่ 3,923 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 157 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 4.2 สูงกว่างวดเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิรวม 658 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 1.10 บาท  เพิ่มขึ้น 226 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 52.3 จากไตรมาสก่อนหน้า

ในส่วนของงบการเงินรวมของบริษัท ทิพย กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TIPH มีกำไรสุทธิไตรมาส 1/2566 จำนวน 639 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิต่อหุ้นจำนวน 1.08 บาท โดยมีผลการดำเนินงานของบริษัทย่อยภายใต้กลุ่มธุรกิจสนับสนุนประกันภัยที่ขยายการลงทุนไปแล้วในช่วงปีที่ผ่านมา อาทิ บริษัท อะมิตี้ อินชัวร์รันซ์ โบรคเกอร์ จำกัด หรือ Amity มีกำไรสุทธิ อยู่ที่ 2.6 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 310.5 และบริษัท ดีพี เซอร์เวย์ แอนด์ลอว์ จำกัด หรือ DP Survey มีกำไรสุทธิ อยู่ที่ 10.7 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 83.4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยในปี 2566 TIPH ตั้งเป้าหมายให้ทุกบริษัทในกลุ่มธุรกิจสนับสนุนประกันภัยมีรายได้เติบโตไม่น้อยกว่า 50% เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ขยายฐานลูกค้า และบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้ในส่วนของบริษัท มีที่ มีเงิน จำกัด ซึ่งให้บริการทางการเงินที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (Non-Bank) มีการเติบโตที่ดีตามแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และตามการเติบโตของอุปสงค์สินเชื่อภาคธุรกิจและครัวเรือน บริษัทฯสามารถทำตามเป้าหมายในการขับเคลื่อนภารกิจเชิงสังคม ให้ประชาชนสามารถเข้าถึงสินเชื่อด้วยต้นทุนต่ำ จึงได้รับความสนใจจากลูกค้าเป็นจำนวนมาก และสามารถขยายพื้นที่ให้บริการสินเชื่อที่ดินทั่วประเทศได้ตามแผน

นอกจากนี้ บริษัท อินชัวร์เวิร์ส จำกัด (มหาชน) ซึ่งประกอบธุรกิจประกันภัยแบบ Pure Digital ตั้งเป้าขยายฐานลูกค้าใหม่ในกลุ่มประกันภัยแบบลูกค้ารายย่อย (Personal Line) ในราคาที่ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงได้ จะเริ่มให้บริการเร็วๆ นี้

สำหรับทิศทางการลงทุนในปี 2566 TIPH อยู่ระหว่างการศึกษาการลงทุนในธุรกิจประกันภัยในประเทศกัมพูชา และการลงทุนในธุรกิจที่เป็นแนวโน้มในอนาคต รวมถึงธุรกิจที่จะสามารถสร้าง New S-curve หรือ Synergy เพื่อสนับสนุนธุรกิจประกันภัย โดยจะเน้นลงทุนในช่วง Growth Stage ของธุรกิจที่สามารถสร้างกำไรได้ทันที (Quick-win) ในรูปแบบการควบรวมหรือเข้าซื้อกิจการ (M&A) และยังอยู่ระหว่างการศึกษาการจัดตั้งบริษัทด้านเทคโนโลยีและดิจิทัลแบบครบวงจรเพื่อให้บริการกับทุกบริษัทที่อยู่ในกลุ่ม TIPH เพื่อให้เกิดมาตรฐานและลดต้นทุนในการดำเนินงาน อีกทั้ง TIPH อยู่ระหว่างการออกหุ้นกู้ โดยมีการยืนยันความแข็งแกร่งทางการเงิน และความสามารถทางการแข่งขันที่โดดเด่น จากการได้รับการจัดอันดับจาก TRIS Rating ที่ “AA” แนวโน้มคงที่ ที่สะท้อนความแข็งแกร่งทางการเงินของบริษัท โดยบริษัทฯได้เสนอขายหุ้นกู้ต่อนักลงทุนสถาบันเรียบร้อยแล้ว และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี โดยจะดำเนินการแล้วเสร็จภายในเดือนกรกฎาคมนี้

ทั้งนี้ ดร.สมพร กล่าวว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานของ TIPH และบริษัทในกลุ่มยังคงแข็งแกร่งและสร้างการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงมีแนวโน้มสร้างรายได้เพิ่มขึ้นจากแผนการขยายงานและขยายฐานลูกค้าผ่านความร่วมมือกับพันธมิตรในหลากหลายอุตสาหกรรม ประกอบกับแผนขยายการลงทุนของ TIPH ในปีนี้ จะช่วยเพิ่มศักยภาพการเติบโตและความแข็งแกร่งในการดำเนินธุรกิจยิ่งขึ้น ทั้งในด้านการเพิ่มรายได้ การลงทุนขยายธุรกิจในประเทศและระดับภูมิภาค รวมถึงประสิทธิภาพการบริหารต้นทุนที่เพิ่มขึ้น เพื่อรักษาความเป็นผู้นำในธุรกิจประกันวินาศภัยของไทย และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับกลุ่มธุรกิจของ TIPH ต่อไป