เมื่อ “หนังไทย” ไม่กลัวกระแสดิสรัปชัน

898

ท่ามกลางการระบาดของไวรัสโควิด-19 และกระแสบริการสตรีมมิงความบันเทิงครบรสหลายพันรายการที่ผุดระนาวอยู่บนโลกออนไลน์ กับคำถามว่าอุตสาหกรรมภาพยนตร์จะเดินไปทางไหน “หนังไทย” จะก้าวต่ออย่างไร ผู้เล่นรายใหม่อย่าง “เนรมิตรหนัง ฟิล์ม” กางแผนปี 65 ทุ่มงบประมาณ 500 ล้านบาท ดัน 7 โปรเจกต์หนังไทย คือคำตอบของเรื่องนี้

            นางสาวกนกวรรณ วัชระ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เนรมิตรหนัง ฟิล์ม จำกัด เปิดเผยว่า ได้ก่อตั้งบริษัท เนรมิตรหนัง ฟิล์ม จำกัด เมื่อต้นปี 2564 ด้วยทุนจดทะเบียน 15 ล้านบาท โดยมีเป้าหมายเพื่อผลิตภาพยนตร์ เอ็นเตอร์เทนเมนต์ และคอนเทนต์ พร้อมลงทุนในธุรกิจเกี่ยวเนื่องที่มีโอกาสเติบโตในอนาคต เพื่อยกระดับมาตรฐานวงการภาพยนตร์ไทยให้ก้าวสู่ระดับสากล โดยนำเทคโนโลยีบล็อกเชนเข้ามาสนับสนุนเพื่อให้อุตสาหกรรมบันเทิงของไทยเติบโตคู่ขนานไปกับโลกการเงินยุคใหม่ ด้วยเงินลงทุนเริ่มต้น 500 ล้านบาท สำหรับการสร้างภาพยนตร์ 7 เรื่อง ที่จะนำออกฉายทั้งในไทยและต่างประเทศตลอดปี 2565

            “เนรมิตรหนัง ฟิล์ม มีจุดเริ่มต้นจากความหลงใหล (Passion) และชื่นชอบการชมภาพยนตร์ ประกอบกับจุดแข็งที่ทีมงานของบริษัทฯ เติบโตบนรากฐานของการทำการตลาด (Marketing) ให้กับบริษัทใหญ่ ๆ จึงมีความเชี่ยวชาญในการนำข้อมูล (Big Data) มาใช้วิเคราะห์สำหรับการสร้างภาพยนตร์ โดยเราเป็นค่ายหนัง

ที่เปิดรับทุกแนวคิดและให้โอกาสผู้กำกับหน้าใหม่ที่มีฝีมือแต่ขาดพื้นที่ในการสร้างสรรค์ผลงานมาร่วมงานกับเรา ในขณะเดียวกันทางบริษัทฯ ได้มีการจับมือกับพันธมิตรที่เป็นค่ายหนังใหญ่ ๆ อาทิ บริษัท ทรานส์ฟอร์เมชั่น ฟิล์ม จำกัด, บ้านริก สตูดิโอ รวมถึง Fatcat Studios ฯลฯ เพื่อร่วมเสริมความแข็งแกร่งให้ธุรกิจ ต่อยอดคุณภาพ             การสร้างภาพยนตร์ไทยให้ประสบความสำเร็จและสร้างรายได้เพิ่มมากขึ้น”

            สำหรับแผนการสร้างภาพยนตร์ ทั้ง 7 เรื่อง ขณะนี้ถ่ายทำเสร็จแล้ว 3 เรื่อง และอีก 3 เรื่องอยู่ระหว่างการถ่ายทำและรอเปิดกล้อง โดยมีผลงานเรื่องแรกที่พร้อมออกฉายทั่วประเทศในวันที่ 9 ธันวาคมนี้ คือเรื่อง “4Kings” หนัง Gangster ที่ตีแผ่เรื่องราวชีวิตของนักเรียนอาชีวะในยุค 90s ที่แฝงไปด้วยแง่คิดการใช้ชีวิตในช่วงวัยรุ่น สำหรับในปี 2565 จะทยอยนำภาพยนตร์ในสต็อกที่ถ่ายทำไว้ออกฉาย โดยทุ่มงบสื่อโฆษณาทั้งสื่อออนไลน์และออฟไลน์เพื่อผลักดันภาพยนตร์ทั้ง 7 เรื่อง ไม่น้อยกว่า 200 ล้านบาท

            “ในยุคที่ธุรกิจหนังไทยกำลังถูกดิสรัปชัน โดยมีวิกฤตโควิดเป็นปัจจัยเร่งสำคัญ ที่ทำให้พฤติกรรมของผู้ชมเปลี่ยนไปอยู่บนโลกออนไลน์มากขึ้น ดังนั้น ในอนาคตอันใกล้นี้ เราจึงมีแผนที่จะสร้างแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งของตัวเอง เพื่อให้สอดรับกับการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจบนแพลตฟอร์มดิจิทัล (Platform Economy)

ที่กำลังเติบโตแบบก้าวกระโดดในประเทศไทย แต่สิ่งที่จะสร้างความแตกต่างให้บริษัทฯ คือการที่เราพลิกโฉมธุรกิจด้วยแนวคิดดิจิทัล (Digital Transformation) ด้วยการควบรวมอุตสาหกรรมบันเทิงเข้ากับโลกการเงินดิจิทัล เพื่อตอบรับเทรนด์ของคนไทยที่มีความนิยมในการลงทุนด้านคริปโทเคอร์เรนซีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

โดยเราจะเป็นค่ายหนังที่นำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาพัฒนาอุตสาหกรรมบันเทิงของไทย ทั้งการนำบล็อกเชน              มาเก็บข้อมูลที่ได้จากผู้ชมภาพยนตร์ เพื่อให้ทราบความต้องการของผู้ชมแบบเรียลไทม์ และสามารถเข้าถึงกลุ่มคนที่กว้างขึ้น (Decentralization) พร้อมเพิ่มทางเลือกการชำระเงินด้วยคริปโทเคอร์เรนซี ไม่ว่าจะเป็นค่าตั๋วหนัง การจ่ายค่าสมาชิกของแพลตฟอร์มออนไลน์ รวมถึงการให้ผู้ที่เกี่ยวข้องในวงการภาพยนตร์มีอำนาจการต่อรอง และมีโอกาสได้รับค่าตัวเป็นคริปโทเคอร์เรนซี พร้อมเปิดกว้างให้กับนักลงทุนที่ต้องการร่วมลงทุนด้วยสินทรัพย์ดิจิทัลเพื่อสร้างภาพยนตร์ ผลิตคอนเทนต์ ผลิตสื่อ ฯลฯ ร่วมกับบริษัทเราอีกด้วย

            “สำหรับภาพรวมของอุตสาหกรรมหนังไทยในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ค่อนข้างซบเซาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทั้งนี้ ภายหลังจากโรงภาพยนตร์กลับมาเปิดให้บริการ เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ที่ผ่านมา  ส่งผลให้ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ธุรกิจจะกลับมาคึกคักอีกครั้ง ทั้งนี้ บริษัทฯ เชื่อมั่นว่าการเปิดประเทศ           จะทำให้อุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยกลับมาเดินหน้าต่อได้ และเราพร้อมจะผลักดันอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทย            ในมิติ Soft Power เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงและทำให้ภาพยนตร์ไทยไปตีตลาดโลกได้อย่างแท้จริง”               นางสาวกนกวรรณ กล่าว