‘เมืองไทยประกันชีวิต’ ชูแผนปี 2562 ผู้นำความโดดเด่นด้านนวัตกรรม

1219

นายสาระ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ MTL  เปิดเผยว่า ในปี 2561 ถือเป็นปีที่เมืองไทยประกันชีวิตได้ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ  ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าอย่างเหมาะสม ผ่านผลิตภัณฑ์ประกันชีวิต ประกันสุขภาพ และประกันชีวิตควบการลงทุน รวมถึงบริการใหม่ที่โดดเด่นเข้าถึงลูกค้าในทุกไลฟ์สไตล์  อาทิ ผลิตภัณฑ์ “เบาหวานเบทเทอร์แคร์” ที่เป็นแบบประกันภัยสำหรับผู้เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2  “สัญญาเพิ่มเติมการประกันภัยสุขภาพ แบบอีลิท เฮลท์”  ที่มอบความคุ้มครองแบบเหนือระดับด้วยความคุ้มครองที่สูงขึ้น  ประกันชีวิตควบการลงทุน “mDesign” แบบประกันภัยที่รวมประกันชีวิตและการลงทุนในกองทุนรวมเข้าไว้ด้วยกัน โดยได้คัดสรรกองทุนรวมคุณภาพชั้นนำ มีความยืดหยุ่นสามารถปรับเปลี่ยนความคุ้มครองและรูปแบบการลงทุนเพื่อให้ตรงกับรูปแบบการใช้ชีวิตได้ตามต้องการ คุ้มครองถึงอายุ 99 ปี ชำระเบี้ยประกันภัยรายงวด และบริการ “MTL Smile Service” บริการรูปแบบใหม่ที่ผสมผสานการดูแลลูกค้าผ่านทีมงานคุณภาพและเทคโนโลยีที่ทันสมัยเพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ด้านการบริการที่ครบวงจร

ด้านผลการดำเนินงานในปีที่ผ่านมาเบี้ยประกันภัยรับรวม 94,467 ล้านบาท แบ่งเป็นเบี้ยประกันภัยรับใหม่  22,773 ล้านบาท และเบี้ยประกันภัยปีต่อไป 71,694 ล้านบาท ได้รับประกาศคงอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินสากล (Insurer Financial Strength: IFS) จากสถาบัน  Fitch Rating และ S&P ของบริษัทฯ โดยมีอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินภายในประเทศ (National IFS) ที่ ‘AAA(tha)’ และอันดับความแข็งแกร่งที่‘BBB+’ (หรืออยู่ในระดับ “ดี”)แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ เมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา และได้รับรางวัล Life Insurance Company of the Year ซึ่งเป็นครั้งที่ 3 แห่งภูมิภาคเอเชียของการได้รับรางวัลดังกล่าว จากการประกวด Asia Insurance Industry Awards 2018 ซึ่งเป็นบริษัทประกันชีวิตจากไทยเพียงรายเดียวที่ได้รับคัดเลือกและได้รับรางวัล

สำหรับการดำเนินงานในปี 2562  บริษัทฯ  ตั้งเป้าหมายในการเป็นบริษัทประกันชีวิตที่มีความ โดดเด่นด้านนวัตกรรม พร้อมก้าวเคียงคู่ไปกับลูกค้าในทุกช่วงของชีวิต ผ่านนโยบาย  “MTL Everyday Life Partner”  เดินหน้าออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการรูปแบบใหม่ผ่านนวัตกรรม และแนวคิดแบบ Outside In ซึ่งสามารถตอบโจทย์ความต้องการในรูปแบบที่มีความเฉพาะตัว และเหมาะกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้า โดยมุ่งเน้นการขายผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตควบการลงทุน และมุ่งเน้นการปลดล็อคข้อจำกัดในการทำประกันชีวิตและสุขภาพ ที่มอบความคุ้มครองและสร้างความอุ่นใจที่มากขึ้น ทั้งในแง่ของการเพิ่มเติมสวัสดิการที่ลูกค้ามีอยู่แล้ว หรือการดูแลในเรื่องของค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลที่ครอบคลุมมากขึ้นกว่าเดิม รวมถึงค่าเบี้ยประกันภัยที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ในการดูแลเรื่องสุขภาพของลูกค้าแต่ละคน

ทั้งนี้บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าทำการตลาดแบบหลากหลายช่องทาง เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นช่องทางตัวแทนที่มุ่งสู่การเป็นผู้ออกแบบทางการเงิน  ที่สามารถออกแบบให้คำปรึกษา และวางแผนทางการเงินที่เหมาะสมแก่ลูกค้าแต่ละราย การขายผ่านช่องทางธนาคาร โบรกเกอร์  รวมไปถึงการขายแบบประกันออนไลน์ ที่มุ่งขยายช่องทางการเข้าถึงลูกค้าผ่านดิจิทัลแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น KPlus, Line Pay และ Shopee ตอกย้ำความเป็นผู้นำในการให้บริการด้วยเครื่องมือที่ทันสมัยและทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่  รวมทั้งยังคงให้ความสำคัญกับการขยายตลาดไปสู่ประเทศที่มีศักยภาพอย่างต่อเนื่อง พร้อมมีผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์ลูกค้าในต่างประเทศ อาทิ บริการ MTL Global Connect ซึ่งลูกค้าที่เจ็บป่วยในต่างประเทศนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลในต่างประเทศทั่วโลกได้ตามสิทธิ์โดยไม่ต้องสำรองจ่าย และบริการ Health at Home บริการสำหรับผู้ป่วยหรือผู้สูงอายุที่มีความต้องการในการรักษาหรือดูแลอย่างต่อเนื่องที่บ้านโดยผู้เชี่ยวชาญจาก Health at Home ที่มีความน่าเชื่อถือ

นอกจากนี้เตรียมยกระดับการให้บริการภายใต้โครงการ “MTL Smile Service” ที่ครอบคลุมการให้บริการแก่ลูกค้าในทุกด้าน ประกอบด้วย MTL Smile Care, MTL Smile Tech, MTL Smile Touch  และ เมืองไทย Smile Club เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ด้านการบริการที่ครบวงจรและเหนือระดับ พร้อมก้าวเดินเคียงข้างลูกค้าในทุกไลฟ์สไตล์ ซึ่งรวมถึงการเชื่อมต่อกับเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจในด้านต่าง ๆเพื่อดูแลลูกค้าได้อย่างครอบคลุม ไม่ว่าจะเป็นเครือข่ายสถานพยาบาล พันธมิตรในกลุ่มที่เป็นสตาร์ทอัพด้าน Insure Tech หรือ Health Tech ที่มาจาก  Fuchsia Innovation Centre และ Fuchsia Venture Capital  ซึ่งจะนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีในด้านต่าง ๆ มาช่วยตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างเข้าถึง

“รูปแบบการดำเนินธุรกิจสำหรับยุคนี้เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จึงจำเป็นที่องค์กรจะต้องปรับตัวในมุมนโยบายเชิงกลยุทธ์ในทุกระดับทั้งองค์กร ไม่ว่าจะเป็นระดับผู้บริหาร ไปจนถึงบุคลากรทุกหน่วยงาน จะต้องปรับเปลี่ยนทัศนคติ แนวคิด และวิธีการทำงานใหม่ทั้งหมด ให้สามารถทันต่อโอกาสที่เกิดขึ้น ภายใต้กลยุทธ์ที่เป็นระบบและมีชั้นเชิง โดยหัวใจหลักของการดำเนินธุรกิจ ยังคงมุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการโดยยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ภายใต้ปัจจัยแวดล้อมใหม่ ๆ จึงได้ปรับตัวให้สอดรับ พร้อมปรับภาพลักษณ์สู่การเป็นองค์กรแห่งนวัตกรรม ที่คิดค้นผลิตภัณฑ์ บริการ ที่สามารถเข้าถึงความต้องการของลูกค้าในทุกช่วงทุกวัย พร้อมเชื่อมต่อกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้าในแบบเฉพาะตัว” นายสาระ กล่าว