ในโอกาสครบรอบ 48 ปีแห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตในปี 2566 สื่อมวลชน 3 สำนักซึ่งประกอบด้วย The Leader Asia บางกอกทูเดย์ และ Creativeecon ได้จัดกิจกรรมสัมมนาเพื่อร่วมเฉลิมฉลองวาระดังกล่าวและกระชับความสัมพันธ์สองประเทศให้มั่นคงสืบต่อไป เพื่อให้สาธารณชนได้รับรู้ถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีนในรอบ 48 ปีแห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต ส่งเสริมการสานต่อความสัมพันธ์ระหว่างไทย-จีน ต่อยอดทางด้านสังคมและเศรษฐกิจ ชี้ให้เห็นถึงบทบาทและความสำคัญของสื่อมวลชน ซึ่งเป็นภาคส่วนหนึ่งในการทำหน้าที่สื่อสารข่าวสารและข้อมูล รวมถึงการชี้นำในการสร้างความเข้าใจระหว่างประชาชนสองฝ่าย และให้ผู้ร่วมสัมมนาได้ทราบถึงนโยบาย ทิศทางของประเทศไทยและจีน ที่จะเดินเคียงข้างกันบนเส้นทางเดียวกันสู่อนาคตอันสันติสุข โดยช่วงเสวนา “48 ปีไทย-จีน กับความร่วมมือพัฒนารอบด้าน” จากมุมมองของ 4 กูรูมีสาระน่าสนใจยางยิ่ง
สัมพันธ์ไทย-จีน ไร้ข้อกังขา
นายวิบูลย์ คูสกุล อดีตเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน กล่าวว่า ขงจื๊อบอกไว้ว่า “ซื่อสือปู๋ฮั่ว” เมื่ออายุถึง 40 ปีแล้วจงไร้ซึ่งข้อกังขาในชีวิต วันนี้ความสัมพันธ์ไทย-จีน มาถึง 48 ปีแล้วดังนั้นจึงอย่าสงสัยอะไรกันอีก แต่ความสัมพันธ์ที่มีหลักฐานคือ 800 ปีตั้งแต่สมัยสุโขทัยเพราะไทย-จีนยังไงก็ต้องคบกัน เหตุผลเพราะคณิตศาสตร์บอกหลายอย่าง การค้าสองฝ่าย 8 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อปีมุ่งสู่แสนล้าน ทุเรียนไปจีนปีที่แล้ว 7.8 แสนต้น ปีนี้คาดว่าจะถึง 1 ล้านตัน การท่องเที่ยวที่เราต้องอาศัยนักท่องเที่ยวจีน การลงทุนที่จีนมาลงทุนเพิ่มมากขึ้น การกำหนดนโยบายนั้นต้องเอาผลประโยชน์ที่เป็นจริงมาเป็นที่ตั้ง ฝ่ายการเมืองต้องเก็บเกี่ยวให้ได้ทั้งเรื่องเศรษฐกิจและความมั่นคง
ในเรื่องสามก๊กบอกว่าปัจจัยแห่งความสำเร็จมี 3 ประการคือ 1. “เทียนสือ” จังหวะเวลา ยุคนี้เป็นของเอเชีย จีนกำลังผงาด ถามว่าต้องคบจีนไหม 2.“ตี้ลี่” คือชัยภูมิหรือภูมิศาสตร์ ไทยคือศูนย์กลางของอาเซียนในภาคพื้นดิน ได้เปรียบประเทศอื่นๆ 3. “เหรินเหอ” คือเรื่องคน คนไทยนิยมต้อนรับชาวต่างชาติ ไม่มีข้อจำกัดด้านศาสนา หน้าที่ของประเทศไทยคือต้องสร้างมูลค่าเพิ่มในตัวเองให้ได้ ให้เขาต้องการเราเพื่อสร้างแรงต่อรองได้ เช่นทำอย่างไรให้ BRI เชื่อมต่อกับ EEC
ขึ้นแท่นนักลงทุนอันดับ 1
นายชนินทร์ ขาวจันทร์ รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน กล่าวว่า การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่ขอบีโอไอปีนี้เป็นปีแรกที่จีนนำมาเป็นอันดับ 1 มูลค่า 15,677 ล้านดอลลาร์ แซงญี่ปุ่นที่ตกเป็นอันดับ 2 มูลค่า 10,285 ล้านดอลลาร์ โดยที่โดดเด่นคืออุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่ขยายตัวกว่า 800%
สาเหตุที่จีนมาลงทุนในไทยมากคือการย้ายฐานการลงทุนออกนอกประเทศเพื่อลดความเสี่ยง หาแหล่งผลิตใหม่ แก้ปัญหาการกีดกันทางการค้าจากสหรัฐอเมริกาและชาติตะวันออก เช่น การผลิตชิป แผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ ป้อนอุตสาหกรรมต่างๆโดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้าที่มีความต้องการสูง นอกจากนี้จีนยังลงทุนมากในอุตสาหกรรมเครื่องไฟฟ้า เครื่องจักร ยางล้อรถยนต์ และแผงโซลาเซลส์
EVแบรนด์จีนสร้างงานและเม็ดเงินมหาศาล
นายปารเมศ วิทยารักษ์สรรค์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคก้าวไกล กล่าวว่า สองสัปดาห์ก่อนได้คุยกับผู้ประกอบการจีนที่เข้ามาลงทุนผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในไทยทั้ง 5 แบรนด์ MG, GWM, BYD, NATA และ ฉางอัน ในเรื่องนโยบายภาครัฐระยะยาวเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านการเมือง ซึ่งได้ตอบไปแล้วว่าพรรคก้าวไกลมีนโยบายส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าอย่างมาก
นอกจากนี้ยังได้คุยกับกระทรวงศึกษาในเรื่องการเสริมสร้างและพัฒนาบุคลากร ให้สามารถรองรับการลงทุนด้านยานยนต์ไฟฟ้าเพิ่มอีกหลายเจ้าทั้งจีนและเกาหลีใต้ โดยอยากผลักดันด้านหลักสูตรรถยนต์ไฟฟ้าให้เกิดขึ้นโดยเร็ว เพราะต่อไปใครที่เรียนรู้เฉพาะเครื่องยนต์สันดาบจะตกงานแน่
พรรคก้าวไกลส่งเสริมนักลงทุนต่างชาติทุกประเทศ ในฐานะพรรคการเมืองเราไม่สามารถเอาความรู้สึกตัวเองที่สนิทกับตะวันตกหรือตะวันออกมาเป็นตัวกำหนด ต้องยึดหลักของผลประโยชน์ประชาชนเป็นหลัก การเข้ามาของEVแบรนด์จีนนั้นสร้างเม็ดเงินมหาศาล ตามมาด้วยการสร้างงาน
ความร่วมมือเสริมสร้างโอกาสใหม่
ดร.ธารากร วุฒิสถิรกูร นายกสมาคมการค้าการลงทุนเส้นทางสายไหมไทย-จีน กล่าวว่า ช่วง 48 ปีที่ผ่านมาความสัมพันธ์ไทย-จีน พัฒนาใกล้ชิดกันมาก เราเห็นจีนผงาดขึ้นมาเร็วมากหลังเปิดประเทศเพราะจีนพัฒนาด้านทุนมนุษย์ ไทยเราหากจะตามให้ทันโลกก็ต้องลงทุนด้าน “ทุนมนุษย์” ให้มากกว่านี้ ขณะเดียวกันจีนได้ใช้ประโยชน์มากจากผลงานวิจัยและพัฒนา (R&D) นำมาใช้เป็นรูปธรรมในขณะที่ไทยเราวิจัยแล้วเอาไว้บนหิ้ง
การประชุมนักธุรกิจชาวจีนโลก (WCEC) เมื่อ 24-26 มิถุนายน 2566 ที่ผ่านมา ซึ่งไทยเป็นเจ้าภาพนั้น ไม่ใช่มาแค่ 3,000 คน แต่ทราบว่ามากถึง 5,600 คน รวมผู้ติดตาม ซึ่งเชื่อว่าก่อให้เงินสะพัดมหาศาลทั้งค่าใช้จ่ายรายหัว ค่ากินค่าใช้ในช่วงที่อยู่เมืองไทยและจะมีการเจรจาด้านการค้าการลงทุนกับไทยตามมาอีกมาก