“ไทยเบฟ” โชว์แผนธุรกิจก้าวข้ามวิกฤตโควิด

826
ฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน)

นายฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่มีความต่อเนื่องมาเป็นเวลาเกือบ 2 ปี ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิต และระบบเศรษฐกิจทั่วโลก ทำให้ทุกธุรกิจต้องมีการตื่นตัวและมีการปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจเพื่อวางแผนรับมือกับวิถีใหม่ในยุค New Normal ไปพร้อมกับการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน การเตรียมความพร้อมจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ ทุกวันนี้พวกเราทุกคนรับมือและปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบันอย่างเต็มความสามารถ ไทยเบฟเองได้ทำหน้าที่ของเราอย่างดีที่สุดในฐานะที่ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องดื่มและอาหารครบวงจรเพื่อร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้แก่ประเทศ แม้ว่าเราเองจะได้รับผลกระทบจากมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสที่มีการปิดช่องทางการจัดจำหน่ายที่สำคัญ แต่จากการปรับแผนการดำเนินงาน และการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ทำให้บริษัทมีกำไรเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคา และค่าใช้จ่ายตัดบัญชี เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.5 เมื่อเทียบกับปีก่อน เป็น 36,638 ล้านบาท สำหรับงวด 9 เดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2564 และยังคงเป็นบริษัทเครื่องดื่มและอาหารที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน รวมทั้งเป็นบริษัทในอาเซียนบริษัทเดียวที่ติดอันดับ 1 ใน 10 ของเอเชียในด้านรายได้และมูลค่าทางการตลาด  จากการเตรียมความพร้อมและปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจในด้านต่างๆ ส่งผลให้ไทยเบฟยังคงเป็นบริษัทเครื่องดื่มที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน สะท้อนถึงศักยภาพของกลุ่มไทยเบฟที่มีความพร้อม ในทุกๆ ด้าน และพร้อมที่จะขับเคลื่อนองค์กรไปสู่ PASSION 2025 กับก้าวที่แข็งแกร่งกว่าเดิมเพื่อครอง

ความเป็นผู้นำธุรกิจเครื่องดื่มครบวงจรในภูมิภาคอาเซียนที่มั่นคง และยั่งยืน Stable & Sustainable ASEAN Leader ด้วยกลยุทธ์หลักดังต่อไปนี้ BUILD (สรรสร้างความสามารถ) คือ สรรสร้างความสามารถและโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ด้วยการต่อยอดจากพื้นฐานธุรกิจที่มีอยู่ ซึ่งสอดคล้องกับเทรนด์ตลาดโลกที่ให้ความใส่ใจในด้านสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี นำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้เพื่อเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำธุรกิจและมองหาตลาดใหม่ๆ STRENGTHEN (เสริมแกร่งความเป็นหนึ่ง) คือการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของธุรกิจหลัก เพื่อรักษาและก้าวสู่ความเป็นผู้นำธุรกิจเครื่องดื่มและอาหารครบวงจรในภูมิภาคอาเซียน โดยเน้นการทำงานร่วมกัน UNLOCK (สุดพลังศักยภาพไทยเบฟ) คือ นำศักยภาพของไทยเบฟมีอยู่มาก่อให้เกิดมูลค่าสูงสุด รวมถึงการนำทรัพยากรต่างๆ เช่น ทรัพยากรบุคคลที่มีอยู่มาพัฒนาศักยภาพ และก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมทั้งขยายเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ

            นอกจากนี้ ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ไทยเบฟได้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการพิเศษในสถานการณ์โควิด (ThaiBev Covid-19 Situation Room (TSR)) เพื่อให้เป็นศูนย์กลางในการติดตามข่าวสาร และดำรงความต่อเนื่องทางธุรกิจของกลุ่มไทยเบฟ ให้สามารถผลิตและจัดส่งสินค้าได้อย่างต่อเนื่องเพียงพอกับความต้องการของผู้บริโภค และดูแลความเป็นอยู่ของพนักงาน และตระหนักถึงความสำคัญของการช่วยเหลือสังคมและพันธมิตรทางธุรกิจให้สามารถฟันฝ่าก้าวข้ามสถานการณ์โควิด-19 ไปด้วยกันจึงได้มีหน่วยงานที่อาสาไปทำประโยชน์ให้กับสังคมโดยรวมทั้งในและต่างประเทศ ด้วยการสนับสนุนทุกภาคส่วนในการขับเคลื่อนมาตรการต่าง ๆ และประสานความช่วยเหลือไปยังหน่วยงานสาธารณสุข และบุคลากรทางการแพทย์ รวมไปถึงการดูแลใส่ใจคู่ค้า พันธมิตรทางธุรกิจครอบคลุมทั่วประเทศ และพนักงานของเราในทุกระดับมาอย่างต่อเนื่อง อาทิ ส่งมอบผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดจากแอลกอฮอล์ มากกว่า 1.4 ล้านลิตร หน้ากาก Surgical Mask มากกว่า 9.3 ล้านชิ้น และหน้ากาก N95 มากกว่า 240,000 ชิ้น พร้อมทั้งมอบกรมธรรม์ประกันภัยกลุ่มคุ้มครองการติดเชื้อ (COVID-19) ให้บุคลากรทางการแพทย์ทั่วประเทศ จำนวน 274,000 คน และยังได้มอบตู้แช่จัดเก็บวัคซีนโควิด-19 ให้กับสถานพยาบาล 10 จังหวัดหลักทั่วประเทศ รวมทั้งสนับสนุนอุปกรณ์ทางการแพทย์ไปยังกองทุนชัยพัฒนาสู้ภัยโควิด-19 การสนับสนุนน้ำดื่ม อาหาร และผลิตภัณฑ์ในเครือ การจัดตั้งศูนย์ตรวจโควิด และศูนย์ฉีดวัคซีน ฯลฯ เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระให้กับทางภาครัฐ

            จากการดำเนินงานที่ผ่านมาทั้งในการบริหารจัดการด้านธุรกิจ และการดำเนินโครงการต่างๆ ในการช่วยเหลือสังคมมาอย่างต่อเนื่องส่งผลให้ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ได้รับการคัดเลือกให้เป็นสมาชิกในกลุ่มดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (The Dow Jones Sustainability Indices หรือ DJSI) โดยจัดลำดับให้เป็นสมาชิกของกลุ่มดัชนีตลาดเกิดใหม่ (DJSI Emerging Markets) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 และเป็นสมาชิกกลุ่มดัชนีโลก (DJSI World) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 และได้รับการจัดอันดับเป็นผู้นำในกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องดื่มระดับโลก (Industry Leader) เป็นปีที่ 3

            ทั้งหมดนี้ สะท้อนถึงศักยภาพของกลุ่มไทยเบฟที่มีความพร้อมอย่างรอบด้าน และความมุ่งมั่นที่จะขับเคลื่อนธุรกิจในกลุ่มไทยเบฟให้บรรลุตามวิสัยทัศน์ไปพร้อมกับการ “สร้างสรรค์ และแบ่งปันคุณค่าจากการเติบโต” กับก้าวที่แข็งแกร่ง มั่นคง และยั่งยืน ภายใต้ PASSION 2025 ที่เป็นมากกว่าวิสัยทัศน์ แต่สะท้อนถึงความมุ่งมั่น ความทุ่มเท ตั้งใจ ของทุกคนในกลุ่มไทยเบฟ  Stronger Together Towards 2025”

นายประภากร ทองเทพไพโรจน์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด กลุ่มธุรกิจสุรา รองผู้บริหารสูงสุด การเงินและบัญชีกลุ่ม และผู้บริหารสูงสุดด้านการเงินและบัญชี ธุรกิจต่างประเทศ กล่าวว่า “ปีนี้ยังคงเป็นปีที่ท้าทายจากสถานการณ์ของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ที่แพร่ระบาดไปทั่วโลกและส่งผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจ โดยกลุ่มธุรกิจสุราในภาพรวมยังคงมีความแข็งแกร่ง เนื่องมาจากความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ซึ่งตอบรับกับการบริโภคที่บ้าน มาจากสินค้าหลักของไทยเบฟ คือ รวงข้าว สุราขาวอันดับ 1 ในประเทศไทย และเพื่อตอกย้ำการเป็นสุราสีอันดับ 1 ในปีนี้สุราสีหงส์ทอง ได้ปรับบรรจุภัณฑ์ขนาด 350 มล. และ 700 มล. ให้มีภาพลักษณ์หรูหราและทันสมัยมากขึ้น หากดูจากผลวิจัยการตลาดในรอบ 12 เดือนย้อนหลัง แสงโสมสามารถเติบโตกว่า 13% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ในส่วนของ เบลนด์ 285 ซิกเนเจอร์ สามารถเพิ่มการเติบโตได้ถึง 26% สำหรับเมอริเดียนบรั่นดี ยังสามารถเพิ่มการเติบโตได้ถึง 39% นอกไปจากนั้นคูลอฟ วอดก้า สามารถเติบโตและมีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 1 อยู่ที่ 32% ในส่วนของแกรนด์รอยัลกรุ๊ปซึ่งเป็นผู้เล่นรายใหญ่ที่สุดของตลาดวิสกี้ในประเทศเมียนมา ยังคงมีผลประกอบการที่แข็งแกร่งประกอบกับมีเสถียรภาพของกระแสเงินสด”

            นายเลสเตอร์ ตัน ผู้บริหารสูงสุด สายธุรกิจเบียร์ (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า “ปี 2564 เป็นอีกหนึ่งปีที่ “เบียร์ช้าง” ต้องเผชิญกับข้อจำกัดด้านการตลาด แม้ว่าจะต้องประสบกับสถานการณ์ความท้าทายต่าง ๆ ที่ยากจะคาดการณ์ แต่กลุ่มธุรกิจเบียร์ ยังคงมุ่งมั่นเดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจตามวิสัยทัศน์ที่วางไว้ ส่งผลให้ผลประกอบการเป็นที่น่าพอใจ ท่ามกลางการแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่อง กลุ่มธุรกิจเบียร์ได้ริเริ่มและดำเนินการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ต่างๆ เพื่อให้สามารถดำเนินงานในโรงงานผลิตเบียร์ได้อย่างราบรื่น ซึ่งรวมถึงการรองรับกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนมา ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่บ้านเพิ่มมากขึ้น รวมถึงเพิ่มบริการจัดส่งถึงบ้าน  และริเริ่มนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ มาปรับใช้เพื่อให้ธุรกิจสามารถดำเนินไปได้อย่างแข็งแกร่ง ผลการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจเบียร์ในประเทศเวียดนามถูกขับเคลื่อนโดยการเพิ่มการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าด้วยการสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่งและมุ่งเน้นการบริหารจัดการต้นทุนการผลิตอย่างคุ้มค่า ในประเทศไทย ปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนผลการดำเนินงาน ได้แก่ การบริหารตลาดแบบเจาะรายพื้นที่ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดเรื่อง Transformation  และการจัดการทรัพยากรให้ดียิ่งขึ้นเพื่อให้สามารถบริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ธุรกิจการส่งออกและกลุ่มตลาดต่างประเทศของกลุ่มธุรกิจเบียร์ ได้มีการยกระดับการขายโดยตั้งเป้าไปที่การขายและการกระจายสินค้าที่แข็งแกร่งพร้อมการบริหารเรื่องต้นทุนอย่างเข้มงวด ดังนั้น การบริหารทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ การบริหารจัดการที่ดีเยี่ยม รวมถึงการมีทัศนคติต่อการเปลี่ยนแปลงส่งผลให้กลุ่มธุรกิจเบียร์ขับเคลื่อนไปสู่ผลสำเร็จที่น่าพอใจท่ามกลางสภาวะตลาดที่มีความท้าทายและไม่เอื้ออำนวยในปัจจุบัน สำหรับการก้าวไปข้างหน้า การขับเคลื่อนรายได้ ผลกำไรจากการดำเนินงาน (EBIT) และส่วนแบ่งทางการตลาด ยังคงเป้าหมายสำคัญที่สุดของกลุ่มธุรกิจ และเพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายนั้นๆ เราจะมุ่งเน้นการขยายช่องทางการจัดจำหน่าย การยกระดับพอร์ตสินค้า และความเป็นเลิศด้านการดำเนินงาน”

            นายเลสเตอร์ ตัน  ยังให้ข้อมูลในส่วนของ บริษัท ไซง่อน เบียร์-แอลกอฮอล์-เบฟเวอเรจ คอร์ปอเรชั่น (ซาเบโก้) เพิ่มเติมอีกว่า “ปี 2564 ยังคงเป็นปีที่ท้าทายสำหรับซาเบโก้ เนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา (โควิด-19) ในประเทศเวียดนาม และการปฏิบัติตามมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมที่เข้มงวดทั้งประเทศ ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิต การทำงาน และการดำเนินธุรกิจ รวมถึงอุตสาหกรรมเบียร์และ ท่ามกลางความท้าทายต่าง ๆ ซาเบโก้ได้ปรับเปลี่ยนวิธีการทำงาน เพื่อให้เกิดความต่อเนื่อง ในการดำเนินธุรกิจ มีการดูแลความปลอดภัย และสวัสดิภาพของตัวแทนขาย ผู้สนับสนุน การขาย รวมถึงพนักงานในโรงเบียร์และฝ่ายผลิต สิ่งสำคัญที่สุด คือ บริษัทต้องการให้พนักงานทุกคนได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ปัจจุบันพนักงานที่ได้รับการฉีดวัคซีนเข็มแรกมีจำนวนทั้งสิ้นร้อยละ 46 ของพนักงานทั้งหมด ในท่ามกลางวิกฤตนี้ บริษัทยังคงมุ่งมั่นทำสิ่งที่เป็นประโยชน์กับสังคมมากขึ้น โดยได้เปิดตัวโครงการ “Community Care” และบริจาคเงินเกือบ 10,000 ล้านดอง เพื่อมอบอุปกรณ์ทางการแพทย์สำหรับโรงพยาบาลและมอบสิ่งของที่จำเป็นในชีวิตประจำวันให้กับครอบครัวที่อยู่ในเขตกักตัว จำนวน 5,000 ครอบครัว

            ส่วนการลงทุนในด้านภาพลักษณ์และการรับรู้ของตราสินค้าที่ผ่านมา บริษัทได้ลงทุนในด้านภาพลักษณ์และการรับรู้ของตราสินค้าผ่านป้ายโฆษณา ป้ายร้านค้า และการเป็นผู้สนับสนุนทางการตลาด บริษัทได้ขยายพื้นที่และเพิ่มป้ายโฆษณาของ Bia Saigon Chill ในสถานที่สำคัญทั่วประเทศ เพื่อโปรโมทผลิตภัณฑ์ที่เพิ่งเปิดตัวใหม่ นอกจากนี้บริษัทได้เปิดตัวป้ายร้านค้ารูปแบบใหม่ สำหรับ Bia Saigon Chill, Bia Saigon Special, Bia Saigon และ Lac Viet และเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับ Bia Saigon ในฐานะตราสินค้าที่เป็นความภาคภูมิใจของเวียดนาม บริษัทภูมิใจที่ได้ให้การสนับสนุนฟุตบอลทีมชาติเวียดนาม นอกจากนี้ บริษัทเปิดตัวแคมเปญ “Stronger Together” ในช่วงวันชาติเวียดนาม โดยวางจำหน่ายเบียร์กระป๋องรุ่นลิมิเต็ด อิดิชั่น และสินค้าแฟชั่น ที่ออกแบบโดยศิลปินในประเทศ ความเป็นเลิศในการปฏิบัติงาน ถือเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกของ ซาเบโก้ มาโดยตลอด โดยเริ่มดำเนินการเชิงรุกเพื่อปรับปรุงการขายและเพิ่มความสามารถของพนักงานขาย เนื่องจากบริษัทตระหนักดีว่า ความเป็นมืออาชีพของพนักงานขายและตัวแทนจำหน่าย ถือเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาความสามารถในการแข่งขัน ดังนั้นเราจึงเริ่มนำระบบ Sales Force Automation (SFA) และ Distributor Management System (DMS) มาใช้ในบริษัทเทรดดิ้งทั้งหมด นับตั้งแต่เดือนมิถุนายนปีที่แล้วที่บริษัทได้เปิดตัว ซาเบโก้ 4.0 ซี่งเป็นโครงการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์และดิจิทัลของกลุ่มในระยะ 3 ปี เราได้ปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานและต้นทุนการดำเนินงานที่ลดลงนอกจากนี้ บริษัทยังคงมองหาแนวทางในการลดต้นทุนอย่างสม่ำเสมอ โดยได้เพิ่มประสิทธิภาพด้านการใช้พลังงานและวัตถุดิบในกระบวนการผลิตเบียร์ ผ่านการจัดซื้อวัตถุดิบร่วมกันและจัดตั้งระบบศูนย์กลางของชิ้นส่วนอะไหล่เครื่องจักรของโรงเบียร์ต่าง ๆ ตลอดจนการติดตั้งพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งช่วยลดต้นทุนและเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้น”

            นายโฆษิต  สุขสิงห์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด สายธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ (ประเทศไทย) ผู้บริหารสูงสุด กลุ่มบริหารช่องทางการจำหน่าย ผู้บริหารสูงสุดกลุ่มธุรกิจต่อเนื่อง และรองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่สายพัฒนาความเป็นเลิศ เปิดเผยว่า “การดำเนินธุรกิจของกลุ่มเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ (Non Alcoholic Beverage หรือ NAB) ยังคงเดินหน้าขับเคลื่อน เพื่อมุ่งสู่ความสำเร็จของ PASSION 2025 พร้อมเดินหน้า ‘ก้าว-แกร่ง-กว่าเดิม’ มุ่งเป้าดันธุรกิจให้เติบโตสู่ระดับสากล ปี 2564 เป็นปีแห่งความท้าทาย โดยทุกประเทศทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทยยังคงต้องเผชิญหน้าอย่างหนักกับปัญหาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ในส่วนของผู้ประกอบธุรกิจ ต่างได้รับผลกระทบไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง สร้างความกดดันและเป็นตัวเร่งให้ทุกภาคส่วนต้องปรับตัว ผู้บริโภคเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน การทำงาน การจับจ่ายใช้สอย รวมทั้งการท่องเที่ยว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการห้ามบริโภคภายในร้านอาหารเพื่อควบคุมการระบาดของโควิด-19 ส่งผลต่อเนื่องให้กลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ต้องปรับเปลี่ยนแนวทางในการบริหารจัดการ รวมถึงการให้บริการกับร้านค้า ในงวด 9 เดือนของปีงบประมาณ 2564 ธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์มีรายได้จากการขายจานวน 11,688 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 6.4 เมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากปริมาณขายลดลงร้อยละ 8.6 ธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ยังคงบริหารต้นทุนอย่างระมัดระวังด้วยการลดค่าใช้จ่ายในการโฆษณาและส่งเสริมการขาย ซึ่งมาตรการดังกล่าวนี้ช่วยให้ธุรกิจมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคา และค่าใช้จ่ายตัดบัญชีจานวน 1,629 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 15.2 เมื่อเทียบกับกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษีเงินได้ค่าเสื่อมราคา และค่าใช้จ่ายตัดบัญชีที่ไม่รวมค่าสินไหมทดแทนสำหรับความเสียหายต่อทรัพย์สินจากเหตุเพลิงไหม้สายการผลิตเครื่องดื่มของบริษัทโออิชิในปีก่อนดังนี้ ปรับรูปแบบการขายมุ่งเน้นร้านค้าปลีก ร้านค้าในชุมชนมากยิ่งขึ้น บริษัทหันมามุ่งเน้นการขายที่ช่องทางร้านค้าปลีกมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งร้านค้าปลีกในบริเวณแหล่งชุมชนต่าง ๆ เพื่อให้ผู้บริโภคที่ทำงานที่บ้านสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์ของบริษัทในร้านค้าใกล้บ้านได้โดยสะดวก ไม่จำเป็นต้องออกไปนอกพื้นที่ ที่อาจเกิดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย ผสานการทำงานให้รวดเร็ว และคล่องตัวด้วยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลเพิ่มประสิทธิภาพการขาย SERMSUK CAMP ช่วยให้พนักงานขายสามารถทำงานผ่านแท็บเล็ต ที่ย่อข้อมูลการขายทั้งหมดที่จำเป็น อยู่เพียงแค่ปลายนิ้ว SERMSUK FAMILY ทำให้บริษัท สามารถให้บริการร้านค้าได้อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ปริมาณขายในช่องทางร้านค้าปลีกเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ นำเสนอผลิตภัณฑ์คุณภาพเพื่อสุขภาพ สร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายให้กับผู้บริโภค บริษัทได้นำเสนอน้ำดื่มคริสตัล น้ำดื่มคุณภาพ ที่เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความจำเป็นสำหรับสุขภาพและการดำรงชีพ ด้วยการทำราคาขายที่ถูกลงให้กับร้านค้า ตลอดจนห้างท้องถิ่นและร้านค้าปลีก และได้นำเสนอเครื่องดื่ม วีบูสท์ วิตามินซี 200 %  ผสมเบต้ากลูแคน รวมถึงเครื่องดื่มชาเขียวโออิชิ พลัสซี เพื่อเกาะติดเทรนด์เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ  เสริมแกร่งทีมงาน เตรียมพร้อมรับมือโลกใหม่ยุค New normal บริษัทได้เตรียมความพร้อมให้ทีมงานและคู่ค้า โดยประสานให้ได้รับการตรวจโควิดและฉีดวัคซีนตลอดจนมีการเพิ่มช่องทางการขายแบบออนไลน์ ตอบรับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป และเตรียมความพร้อมในการให้บริการคู่ค้าสำหรับช่องทางร้านอาหารและโรงเรียนที่จะกลับมาเปิดอีกครั้ง”

            นางนงนุช บูรณะเศรษฐกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ และผู้บริหารสูงสุดสายธุรกิจอาหาร (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า “ท่ามกลางสถานการณ์ที่ท้าทายและเปลี่ยนแปลง กลุ่มธุรกิจอาหารมีการปรับตัวตามพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง โดยในปีที่ผ่านมาได้ปรับรูปแบบธุรกิจให้ตอบโจทย์ด้วย 3 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ (1) Driving Brand Penetration & Accessibility เพื่อเป็นการขยายช่องทางการเพิ่มรายได้ให้ได้มากที่สุด ในปีที่ผ่านมาเรามีการเปิดขยายสาขาอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่อยู่นอกห้าง เพิ่มขึ้น 24 สาขา วันนี้เรามีสาขาทั้งหมดรวม 673 สาขา (ณ 30 ก.ย. 2564) รวมทั้งเปิดรถจำหน่ายอาหารเคลื่อนที่ Food Truck อีกจำนวน 10 คันเพื่อเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น (2) Driving the Delivery Channel โดยพัฒนาแพลตฟอร์มเดลิเวอรี่ของเราเอง ประกอบกับขยายช่องทางการเข้าถึงผู้บริโภคผ่านพันธมิตรทั้ง Food Aggregator และ E-Marketplace ส่งผลให้ช่องทางเดลิเวอรี่เติบโตขึ้นมากเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (3) Digital & Technology ให้บริการที่สะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

            สำหรับปี 2565 ท่ามกลางความท้าทายทางเศรษฐกิจ กลุ่มธุรกิจอาหารจะขับเคลื่อนภายใต้กลยุทธ์หลัก อันได้แก่ (1) Drive Brand Penetration & Accessibility ขยายสาขาในรูปแบบที่เหมาะกับสถานการณ์และพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป รวมถึง Food Truck และร้านแบบ To go (2) Grow Off-Premise Channels เสริมแกร่งและขยายช่องทางการขายนอกสถานที่ (3) Digitize Customer Engagement สร้างความผูกพันกับลูกค้าผ่านช่องทางดิจิทัล (4) Innovation นำนวัตกรรมมาสร้างประสบการณ์ใหม่เพิ่มความสะดวกสบาย ความปลอดภัยให้กับลูกค้า และ (5) Sustainability ดำเนินธุรกิจตามแนวคิดด้านความยั่งยืนด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม”

            นายโฆษิต  สุขสิงห์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด สายธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ (ประเทศไทย) ผู้บริหารสูงสุด กลุ่มบริหารช่องทางการจำหน่าย ผู้บริหารสูงสุดกลุ่มธุรกิจต่อเนื่อง และรองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่สายพัฒนาความเป็นเลิศ  เผยว่า “แนวทางการทำธุรกิจบนหลักคิดเรื่อง “ความยั่งยืน” เป็นสิ่งที่ไทยเบฟยึดถือปฏิบัติมาโดยตลอดตั้งแต่เริ่มทำธุรกิจ โดยได้น้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และพระปฐมบรมราชโองการของพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่จะสืบสาน รักษา และต่อยอด มาเป็นหลักปฏิบัติ โดยเน้นปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมการบริหารทรัพยากรธรรมชาติ สังคม ธรรมาภิบาล การพัฒนาบุคลากร องค์กร และวัฒนธรรมองค์กร เพื่อการพัฒนาด้านความยั่งยืนอย่างรอบด้าน

            สำหรับปีนี้เป็นอีก 1 ปีแห่งความท้าทาย และเป็นอีกหนึ่งบททดสอบของการทำงานทางด้านการพัฒนาความยั่งยืนขององค์กร ท่ามกลางการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธ์ใหม่ โควิด-19  ระลอกที่ 2 ในเดือนธันวาคม 2020 และระลอกที่ 3 ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยไทยเบฟได้แบ่งการดำเนินการเป็น 3 ขั้นตอนหลักเพื่อรับมือกับสถานการณ์ และช่วยเหลือชุมชนและสังคม ดังนี้ 1) การดูแลเพื่อป้องกันการติดเชื้อและการแพร่ระบาด 2) การดูแลรักษาผู้ติดเชื้อเพื่อให้ได้รับการรักษาที่เหมาะสมและทันท่วงที  3) การดูแลการฉีดวัคซีนให้กับบุคลากรทางการแพทย์กลุ่มเสี่ยง และประชาชนทั่วไป ผ่านความร่วมมือกับทางหน่วยงานภาครัฐ และโรงพยาบาลชั้นนำ เพื่อเร่งสร้างเสริมภูมิคุ้มกันให้กับคนไทย นอกจากนี้ กลุ่มไทยเบฟยังได้มอบแอลกอฮอล์ให้กับโรงพยาบาล หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งสถานบริการสาธารณสุข 76 จังหวัดทั่วประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่อง และในท่ามกลางวิกฤตินี้เราและพันธมิตรได้ทำการสำรวจซึ่งพบว่าคู่ค้าให้ความสำคัญกับเรื่องของสุขภาพ ความปลอดภัย และการบริหารจัดการพนักงาน จึงมองว่าการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพนับเป็นอีกหนึ่งโอกาสทางธุรกิจที่สำคัญหลังวิกฤติการณ์ COVID

            นอกจากการบริหารจัดการตามแนวทางของพัฒนาที่ยั่งยืนในด้านธุรกิจแล้ว ไทยเบฟยังตระหนักถึงความสำคัญของการจัดทำโครงการและกิจกรรมต่างๆ เพื่อสังคมตามแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืนในทุกมิติ และล่าสุดยังได้มีการจัดงาน “Thailand Sustainability Expo 2021 (TSX)” ภายใต้แนวคิด “พอเพียง ยั่งยืน เพื่อโลก” (Sufficiency for Sustainability) ที่จะมีขึ้นตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 10 ตุลาคมนี้ ที่นับเป็นอีกหนึ่งมหกรรมด้านความยั่งยืนที่ยิ่งใหญ่ของประเทศไทยที่เกิดขึ้นจากการรวมตัวขององค์กรผู้นำด้านความยั่งยืนหลายภาคส่วน   ทั้งหมดนี้ จึงถือเป็นการตอกย้ำถึงแนวคิดการ “‘สร้างสรรค์และแบ่งปันคุณค่าจากการเติบโต”พร้อมการสร้างประโยชน์ต่อสังคมอย่างยั่งยืน สู่กลไกการขับเคลื่อนการดำเนินงาน สอดคล้องตามแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืนของการเป็นบริษัทชั้นนำระดับโลก”

            ดร.เอกพล ณ สงขลา รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด กลุ่มทรัพยากรบุคคล เผยว่า “ไทยเบฟ ปลูกฝังแนวความคิด ก้าวแกร่งกว่าเดิม ส่งเสริมให้พนักงานปรับตัวและปรับเปลี่ยนทักษะการทำงานให้ก้าวเคียงคู่องค์กรท่ามกลางความท้าทาย ล่าสุด ภูมิใจอีกครั้งกับการได้รับรางวัล HR Asia Best Companies to Work For และรางวัล Most Caring Company 2021 หรือ รางวัลสุดยอดบริษัทใส่ใจพนักงาน จาก HR Asia จากการสำรวจบริษัทในไทยเกือบ 300 บริษัท ด้วยผลคะแนนความผูกพันพนักงานระดับเป็นเลิศและการเยี่ยมชมบริษัท ซึ่งสะท้อนการดูแลเอาใจใส่พนักงานกว่า 46,000 คนในประเทศ และ 62,000 คนทั่วโลกเป็นอย่างดี ตลอดปี 2021 เราปรับแนวทางการทำงานให้ปลอดภัย เพิ่มความคล่องตัว เพื่อส่งมอบสินค้าและบริการแก่ผู้บริโภคอย่างต่อเนื่องทุกๆ วัน  ทุกคนร่วมผสานพลัง เพื่อลดความกังวลใจของเพื่อนพนักงาน อาทิ จัดให้มีระบบลงทะเบียนดิจิทัลทุกวันเพื่อความปลอดภัยแก่พนักงานและคนรอบข้าง การจัดทำประกันภัยความเสี่ยงจากโรคโควิด-19 ให้แก่พนักงานทุกคน ทุกตำแหน่งงาน การจัดให้มีสายด่วน 24 ชั่วโมง ดูแลเรื่องต่างๆ ร่วมสร้างสรรค์ครอบครัวและสังคมให้ปลอดภัย โดยการสนับสนุนการฉีดวัคซีนร่วมกับภาครัฐรวมถึงวัคซีนทางเลือก  กลุ่มไทยเบฟ ผลักดันแนวความคิดโอกาสไร้ขีดจำกัดในมิติต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยให้ความสำคัญกับการสร้างสรรค์ศักยภาพคนรุ่นใหม่ ซึ่งปีนี้โครงการ ThaiBev ASEAN Internship Program มีผู้สนใจเข้าร่วมกว่าหนึ่งพันคนทั่วอาเซียน สะท้อนถึงความเป็นหนึ่งในบริษัทไทยที่คนรุ่นใหม่อยากร่วมงานด้วยมากที่สุดจากการสำรวจของ HR Asia และ Work Venture ครั้งล่าสุด”