ผมไปอยู่ในรัฐ 7 สาวน้อยกว่าสิบปี
อันดับแรกไปที่รัฐอัสสัม เพราะที่รัฐนี้เราจะเข้าถึงผู้คน ข้าราชการ นักการเมืองง่าย
เนื่องจากเขารักชอบนิยมคนไทยอยู่แล้ว
เป็นความง่ายที่หลายคนมองข้าม
เราไปเมืองอื่นเขาอาจไม่ค่อยสนใจ แต่ถ้าไปที่รัฐอัสสัม ไทยอาหม หรือรัฐ 7 สาวน้อยเขาจะมีความชื่นชมคนไทย
เราจะเข้าถึงและสัมผัสเขาได้ง่าย
อย่างผมเป็นข้าราชการแค่ระดับเบอร์ 2 รองผู้อำนวยการ แต่สามารถเข้าไปคุยกับรัฐมนตรีของรัฐ
เขาให้ความรัก ให้ความเอ็นดู ให้เกียรติ นี่คือความง่ายที่เรามองข้าม
แต่ก็อย่างที่ผมกล่าวแล้วว่า ประเทศอินเดียในอดีตไม่มีใครอยากไป
แล้วรัฐอัสสัมต้องนั่งเครื่องบินออกจากเมืองหลวงไปอีก 3 ชั่วโมง
ถนนก็เป็นฝุ่น
แค่คิดก็เหนื่อยแล้ว
แต่กำลังซื้อของเขามีแน่นอน ไม่ว่าบ้านจนหรือบ้านรวย ต้องกิน ต้องใช้ ถ้าเรานำของที่ถูกกับความต้องการของเขาเข้าไป ขายได้แน่นอน
ผมกล้าพูดว่าผมเป็นข้าราชการคนแรกๆของประเทศไทยที่เข้าไปทำตรงนั้นอย่างเป็นจริงเป็นจัง
ไปแล้ว ไปอีก
ไปบ่อย..บ่อย
กลายเป็นมิตรภาพแน่นแฟ้น
ไม่ว่าจะเป็นคนในรัฐอัสสัมเหนือซึ่งเป็นถิ่นไทยอาหมแท้ๆ เมืองดีบูก้า สิบสการ ฯลฯ
รัฐนากาแลนด์นี่คุ้นเคยกันมาก รักกันมาก
ขยายไปรัฐมณีปุระ ไปจนผู้คนแถวนั้นรักผม เขาให้เกียรติและมั่นใจว่าผมมาเปิดตลาดจริงจัง ไม่ใช่ไปแล้ว กลับมาแล้วไม่ไปอีกเลย
ผมพูดเรื่องการเชื่อมเส้นทางประเทศไทยกับภาคตะวันออกเฉียงเหนือหรือนอร์ธอีสต์ของอินเดียสิบกว่าปีมาแล้ว
ชวนผู้ใหญ่หลายคณะจากเมืองไทยให้เดินทางไปดูลู่ทางการค้าการลงทุน
โปรโมทผ่านสื่อมวลชน
เสนอทำเส้นทางเชื่อมกัน
จนตอนนี้มีการขับรถไปมาหาสู่กันได้
จัดคาร์แรลลี่มาหลายครั้ง
ผมยังได้รับการแต่งตั้งจากผู้บริหารรัฐนากาแลนด์ให้เป็นที่ปรึกษาด้านการค้าและการท่องเที่ยวรัฐนากาแลนด์
และผมก็เป็นคนไทยคนแรกที่หอการค้ากัลกัตตาแต่งตั้งให้เป็นสมาชิกกิติมศักดิ์ของหอการค้า (เบงกอลเนชั่นแนลออฟคอมเมิร์ซ) ซึ่งหอการค้านี้ตั้งมาร้อยกว่าปีแล้วไม่เคยมีใครได้รับตำแหน่งนี้ ผมเป็นชาวต่างชาติคนแรกที่ได้รับเกียรติ
ถือเป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจและเกียรติประวัติของชีวิต
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดียคือตลาดใหม่ที่น่าสนใจสําหรับผู้ประกอบการส่งออกไทย
เนื่องจากรัฐบาลกลางของประเทศอินเดียได้วางยุทธศาสตร์เศรษฐกิจกําหนดให้ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดียเป็น ‘ประตูสู่อาเซียน’
มีถนนสาย AH1 (Asian Highway 1) เชื่อมต่อระหว่างประเทศไทย-พม่า และ อินเดีย
พื้นที่แถบตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดียหรือที่เรามักเรียกกันว่า ‘นอร์ธอีสต์’ เป็นพื้นที่ขนาดใหญ่
มีประชากรอาศัยอยู่ราว 45 ล้านคน
มีอาณาเขตติดกับปากีสถานและพม่า
โดยมีรัฐอัสสัมเป็นจุดศูนย์กลางการค้าการลงทุนและการขนส่งของรัฐ 7 สาวน้อย
รัฐ 7 สาวน้อยเปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดๆก็คล้ายกับภาคอีสานบ้านเรานั่นเอง
ในอดีตอาจดูแห้งแล้ง ห่างไกลความเจริญ
แต่เมื่อนโยบายของรัฐบาลกลางหันมาให้ความสนใจ และทุ่มงบประมาณเพื่อการพัฒนา ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดียก็โดดเด่นขึ้นทันตา
ว่ากันว่านี่คือตลาดใหม่สินค้าไทย
เพราะคนในรัฐ 7 สาวน้อยหลงใหลสินค้าไทย บริโภคสินค้าไทย และชื่นชมสินค้าแบรนด์เนม Made in Thailand ชนิดที่ว่าใครก็ตามใช้สินค้าติดยี่ห้อ Made in Thailand จะได้รับการยอมรับว่าเท่ มีสไตล์ ทันสมัย และมีหน้ามีตาในสังคม
ปัจจุบันปริมาณสินค้าไทยเริ่มขยายจากพม่าไปสู่รัฐ 7 สาวน้อยมากขึ้น
ผู้คนแถบนี้นอกจากมีรูปร่างหนาที่คล้ายคลึงกับคนไทยแล้ว พวกเขายังมีวัฒนธรรมการกินที่ใกล้เคียงกับเรา
โดยเฉพาะรัฐอัสสัมมีความผูกพันกับคนไทยมาก
เนื่องจากกลุ่มคนกลุ่มแรกที่เข้ามาบุกเบิกก่อตั้งรัฐนี้ก็คือชุมชนคนไทยซึ่งคนอินเดียเรียกว่า ‘ชุมชนเผ่าไทย หรือ ไทยอาหม’ ซึ่งอพยพไปจากทางตอนเหนือของพม่า
มีทั้งหมด 5 ชุมชน
คนในชุมชนเหล่านี้สามารถพูดภาษาไทยได้ อาหารการกิน ลักษณะการแต่งกายเหมือนคนไทยทั้งสิ้น
เช่นเดียวกับรัฐมณีปุระซึ่งมีร้านค้าชายแดนมากกว่า 1,000 ร้าน
แต่ละร้านจะมีผู้หญิงขายของเท่านั้น
เรียกว่า “Women Market”
สินค้าหลายอย่างคุ้นตาเราเป็นอย่างดี เช่น ปลาร้า ตั๊กแตนทอด หนอนรถด่วน
บุคลิกลักษณะของคนอินเดียในแถบนี้จะแตกต่างจากคนอินเดียในภาคกลาง คือ ไม่โพกหัว ไม่ไว้เครา
ถ้ามาเมืองไทยอาจเข้าใจผิดคิดว่าเป็นคนไทย
การเดินทางไปยังรัฐ 7 สาวน้อยสามารถเดินทางได้ทั้งทางบกและทางอากาศ
โดยทางบกเดินทางจากอำเภอแม่สอดไปยังเมืองเมียวดี หงสาวดี ย่างกุ้ง มัณฑะเลย์ เข้าสู่ด่านชายแดนทามู (สหภาพพม่า) ซึ่งเชื่อมต่อกับด่านมอเร่ห์ (อินเดีย) เข้าสู่รัฐ 7 สาวน้อย
อีกเส้นทางหนึ่งออกจากอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เข้าสู่เชียงตุง มัณฑะเลย์ ด่านทามูและด่านมอเร่ห์
ส่วนทางอากาศนั่งเครื่องบินจากกรุงเทพฯ ไปยังเมืองกัลกัตตาแล้วต่อเครื่องเข้าเมืองกูวาฮาตี รัฐอัสสัม หรือ เมืองอินฟาล รัฐมณีปุระ
ปัจจุบันมีสินค้าไทยจำหน่ายในรัฐ 7 สาวน้อยหลายรายการ
เป็นสินค้าที่นักธุรกิจในรัฐ 7 สาวน้อยบินมาซื้อจากเมืองไทยโดยตรง
หรือบางส่วนอาจเป็นสินค้าที่นักธุรกิจอินเดียสั่งจากเมืองไทยเข้าไปยังนิวเดลีแล้วส่งต่อไปขายในรัฐ 7 สาวน้อยอีกที
สินค้าไทยที่ได้รับความนิยมเช่น เสื้อผ้า กางเกงยีนส์ รองเท้าแตะ เครื่องประดับ สร้อย แหวน โต๊ะเครื่องแป้งแบบน็อกดาวน์ที่นักศึกษาใช้ แบตเตอรี่ เป็นต้น
สินค้าไทยเมื่อไปถึงที่นั่นบวกค่าขนส่ง ค่าภาษี ราคาขายปลีกสูงกว่าในเมืองไทย
ยกตัวอย่างน้ำปลาขวดหนึ่งประมาณ 100 บาท (120 รูปี)
บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปซองละ 20 บาท (25 รูปี)
ซึ่งก็มีคนนิยมซื้อรับประทาน
อย่างที่กล่าวแล้วว่าสินค้าไทยในรัฐ 7 สาวน้อยถือเป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมอย่างมาก
สินค้าอะไรก็ตาม ถ้าแปะยี่ห้อ Made in Thailand จะขายดีที่สุด
เพราะค่านิยมคนที่นั่นจะมองสินค้าไทยเป็นของเท่ ใช้แล้วมีหน้ามีตา
ปัจจุบันสินค้าจากต่างประเทศที่เข้าไปทำตลาดนอกจากไทยแล้วก็มีจีน แต่ สินค้าจีนคุณภาพสู้สินค้าไทยไม่ได้ ทำให้ไม่ค่อยได้รับความนิยมมากนักเมื่อเทียบกับสินค้าไทย
รัฐ 7 สาวน้อย หรือ North East India จึงเป็นตลาดการค้าที่อาจจะพูดได้ว่าใหม่ถอดด้าม
การแข่งขันยังน้อย
แต่ในความใหม่ได้ซ่อนกำลังซื้อไว้มากมาย
คนในภูมิภาคนี้อ้าแขนต้อนรับสินค้าจากทุกชาติที่เข้าไปทำตลาด
โดยเฉพาะสินค้าไทยน่าจะได้เปรียบกว่าชาติอื่น เพราะคุณภาพดีแต่ราคาไม่แพงมากนัก
ประกอบกับรสนิยมคนในภูมิภาคนี้คล้ายคลึงกับคนไทย
ชอบอะไรคล้ายๆกัน
เช่นผลไม้ที่เห็นขายกันมาก กล้วย ส้ม สับปะรด
ผักก็เหมือนกับที่เราชอบกิน อาทิ หน่อไม้ กระหล่ำปลี หอม กระเทียม สะตอ ฟักทอง
คนภูมิภาคนี้ชอบกินหมากเป็นชีวิตจิตใจ จึงมีหมากขายทั่วเมือง ทั้งหมากดิบและหมากสำเร็จรูป ใครสนใจเข้าไปลงทุนปลูกหมากขาย หรือส่งหมากเข้าไปขาย ที่นี่คือตลาดใหญ่แห่งหนึ่งของโลก
นอกจากนี้ยังมีธุรกิจที่น่าเข้าไปลงทุนอีก 3 กลุ่มหลักคือ
1.สินค้า SMEs ได้แก่ เครื่องเทศ เครื่องปรุงรส อาหารสําเร็จรูป เครื่องสําอางและเครื่องแต่งกาย
2.ธุรกิจด้านการเกษตร เพื่อตอบสนองความต้องการบริโภคภายในภูมิภาค เนื่องจากผู้คนในแถบนี้ยังขาดองค์ความรู้ในการเพาะปลูกและการทําปศุสัตว์อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การเลี้ยงหมู ไก่ รวมถึงการเลี้ยงปลาในกระชัง
3.ธุรกิจโรงพยาบาล เนื่องจากระบบสาธารณสุขในอินเดียยังคงมีปัญหาทั้งในด้านสถานที่ การบริการ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ มีคนอินเดียจํานวนไม่น้อยที่ให้ความไว้วางใจโรงพยาบาลไทยและเดินทางมาใช้บริการสถานพยาบาลในประเทศไทย จึงเป็นช่องทางที่นักธุรกิจไทยจะเข้าไปลงทุนเพื่อเจาะตลาดโรงพยาบาลหนึ่งในธุรกิจบริการที่กําลังเป็นที่ต้องการของชาวอินเดีย
ผมเคยร่วมกิจกรรมโครงการแรลลี่ชื่อว่า Flag Down “ASEAN Car Rally
เป็นกิจกรรมที่โชว์การเชื่อมโยงทางถนนระหว่างประเทศอาเซียนเข้าสู่อินเดีย
โดยขบวนรถดังกล่าวมาจาก 11 ประเทศ
มีการเดินทางกว่า 8,000 กิโลเมตร
ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนเริ่มต้นที่อินโดนีเซีย สิงคโปร์ ผ่านประเทศต่างๆ ในอาเซียน ผ่านพม่าและสิ้นสุดที่เมืองกูวาฮาตีรัฐอัสสัมของอินเดีย
แรลลี่ดังกล่าวมีบุคคลสำคัญของรัฐบาลแต่ละประเทศเข้าร่วมพิธี รวมถึงประเทศไทย
กิจกรรมครั้งนั้นทำให้รัฐอัสสัมเบ่งบานขึ้นทันควัน ในฐานะประตูการค้าสำคัญระหว่างอาเซียนกับอินเดีย
ASEAN Car Rally สะท้อนว่าการค้า การลงทุน การขนส่งสินค้าและการขนส่งคนระหว่างอาเซียน-อินเดียยังมีโอกาสและศักยภาพสูงมาก
ซึ่งการค้ากับภาคอีสานของอินเดียควรจะต้องใช้วัฒนธรรมและการท่องเที่ยวนำการค้า
นักธุรกิจไทยที่สนใจทำการค้ากับอินเดียอาจถือโอกาสเข้าไปท่องเที่ยวในรัฐอัสสัมก่อน แล้วจะพบว่ามีโอกาสทองทางธุรกิจรออยู่อย่างมาก
ปัจจุบันคงไม่มีใครมองข้ามอินเดีย เนื่องจากเป็นตลาดใหญ่เทียบเท่าจีน
ในขณะที่ปริมาณการค้าระหว่างไทยกับอินเดียยังถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับขนาดของตลาด
โอกาสที่จะเพิ่มหรือขยับขึ้นมีสูงมาก
คนไทยรู้จักอินเดียมานาน แต่รู้จักแค่เมืองหลักๆ เช่น นิวเดลี มุมไบ กัลกัตตา เจนไน
ถ้าขยับออกจากเมืองหลักหรือขยับออกจากจังหวัดไปสู่อำเภอ ตรงนั้นสินค้าไทยยังไปไม่ค่อยถึง จึงควรไปทำกิจกรรมอะไรก็ได้เพื่อโปรโมตสินค้าไทยในเมืองย่อยๆ
เช่น รัฐ 7 สาวน้อยดังที่กล่าวมาแล้ว
เพราะนอกจากรัฐดังกล่าวจะมีประชากรรวมกันถึง 45 ล้านคนแล้ว ยังมีจุดเชื่อมต่อกับประเทศบังกลาเทศ ซึ่งมีประชากร 160 กว่าล้านคน รวมแล้ว 200 กว่าล้านคน
ถือว่าเป็นตลาดใหญ่และมีโอกาสเติบโตอีก..มากมาย