กิจกรรมพัฒนาคลัสเตอร์ Digital Content ภายใต้โครงการสนับสนุนและพัฒนาคลัสเตอร์ SME ปี 2564 ร่วมกับ มหาวิทยาลัยศิลปากร พร้อมพันธมิตรในอุตสาหกรรมต่างๆ อาทิ เครือสหพัฒน์ ช้อปปี้ (ประเทศไทย) จัดสัมมนาออนไลน์ เชิญผู้เชี่ยวชาญจาก Shopee University ให้ความรู้ในหัวข้อ Getting Started with “Shopee Ads” ติดปีกผู้ค้าออนไลน์ ถึงวิธีการกระตุ้นยอดขายและการรับรู้ของร้านค้า ด้วยการทำโฆษณาบน ช้อปปี้ อย่างทรงประสิทธิภาพ
โดยสัมมนาครั้งนี้เป็นกิจกรรมต่อยอดจากโครงการ Thai Character Designer X Fashion Collaboration Project ที่รับสมัครและคัดเลือกผู้ประกอบการ SME และนักออกแบบ นำผลงานด้านคาแรคเตอร์มาต่อยอดเป็นสินค้า ในกลุ่ม Fashion อาทิ เสื้อผ้าบุรุษ-สตรี-เด็ก ชุดชั้นใน Home textile และ Gift / Dolls เพื่อจัดทำ Pilot Products โดยทำงานร่วมกับบริษัทชั้นนำด้านธุรกิจ สิ่งทอ-แฟชั่นของประเทศ บมจ.ไทยวาโก้ บมจ.ธนูลักษณ์ บมจ.บูติคนิวซิตี้ บจ.ไหมทอง บจ.เอช แอนด์ บี อินเตอร์เท็กซ์ บจ.ราชาอูชิโน และทดลองตลาดจัดจำหน่ายจริงในเว็บไซต์อี-คอมเมิร์ซ
ทั้งนี้ เมื่อพูดถึงอี-คอมเมิร์ซ มีหลายงานวิจัยระดับสากล “ติดดาว” ประเทศไทยว่าเป็น 1 ในประเทศที่มาแรงทั้งด้านยอดซื้อและยอดขาย โดย We Are Social ระบุไว้ในรายงาน Global Digital Stat 2021 ช่วงครึ่งปีหลังว่า คนไทย เป็นนักช้อปออนไลน์เบอร์ 4 ของโลก ขณะที่ ผลวิจัย “เศรษฐกิจดิจิทัลในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประจำปี 2563 (e-Conomy SEA 2020)” ที่จัดทำร่วมกันโดย Google, Temasek และ Bain & Company เมื่อปลายปีที่ผ่านมา ก็ยกให้ไทย เป็นประเทศที่ อี-คอมเมิร์ซ (E-commerce) เป็นกลุ่มธุรกิจที่เติบโตรวดเร็วที่สุด
ปัจจุบัน ภาพรวมมูลค่าอี-คอมเมิร์ซแบบ B2C ของไทย ติดอันดับสูงสุดในกลุ่มอาเซียน มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง ตามพฤติกรรมผู้บริโภคที่เริ่มคุ้นเคยกับวิถี new normal จากแรงเหวี่ยงของมาตรการล็อกดาวน์ ทำให้ต้องใช้เวลาอยู่บนโลกออนไลน์มากขึ้น จึงเป็นโอกาสของผู้ประกอบการที่ก้าวทันความรู้และทักษะการตลาดออนไลน์ (Online Marketing) ใหม่ๆ เพื่อใช้ส่งเสริมการขายให้ “ประสบความสำเร็จ” ในการกวาดลูกค้าและยอดขาย
ล่าสุด กิจกรรมพัฒนาคลัสเตอร์ Digital Content ภายใต้โครงการสนับสนุนและพัฒนาคลัสเตอร์ SME ปี 2564 จัดโดยสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) และมหาวิทยาลัยศิลปากร ร่วมกับพันธมิตร เครือสหพัฒน์ และช้อปปี้ (ประเทศไทย) จัดสัมมนาออนไลน์ หัวข้อ Getting Started with “Shopee Ads” โดยมีผู้เชี่ยวชาญจาก Shopee University มาให้ความรู้ติดปีกผู้ค้าออนไลน์ ถึงวิธีการกระตุ้นยอดขายและการรับรู้ของร้านค้า ด้วยการทำโฆษณาบน ช้อปปี้ อย่างทรงประสิทธิภาพ โดยเป็นการสัมมนาทางออนไลน์ผ่านระบบไลฟ์สตีม
ผู้เชี่ยวชาญจาก Shopee University ได้จัดเต็มทิปส์ง่ายๆ แต่ทรงพลัง ถึงวิธีการทำโฆษณาโดยการใช้ Shopee Ads ให้ผู้ขายมือใหม่ได้ทำความรู้จักว่า Shopee Ads คืออะไร พร้อมเรียนรู้ถึงสถิติความสำเร็จจากการยิงโฆษณา ข้อดีของการทำโฆษณาด้วย Shopee Ads รูปแบบอันหลากหลายของการโฆษณา รวมไปถึงเทคนิคต่างๆ ที่จะทำให้นักช้อปออนไลน์ “มองเห็น” และ “คลิกสั่งซื้อ”
แกะสูตร Shopee Ads : 1+1=3
ปัจจุบัน Shopee ถือว่าเป็นแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่ได้รับความนิยมสูงอย่างต่อเนื่อง ด้วยจำนวนผู้ใช้งานรายเดือนสูงเป็นอันดับ 1 ในภูมิภาค ดังนั้นจึงเป็น “โจทย์” ท้าทายผู้ขายและร้านค้าว่า ทำอย่างไรให้คนเห็นสินค้า/ร้านค้าเรา เลือกเรา และเป้าหมายสูงสุดคือ “การเพิ่มยอดขาย” โดยกูรูของ ช้อปปี้ ให้ความมั่นใจว่า Shopee Ads เป็นการใช้โฆษณาได้อย่างง่ายที่สุดและตอบโจทย์ได้มากสุดในแพลตฟอร์มร้านค้าออนไลน์ และไม่จำเป็นที่ร้านค้าจะต้องลงโฆษณาบนแพลตฟอร์มนี้เท่านั้น แต่ยังได้ความรู้ไปต่อยอดทำโฆษณาภายนอกแอปควบคู่ไปได้ด้วย โดยเฉพาะทำผ่าน Social Media เพราะเป็นช่องทางที่คนส่วนใหญ่ใช้เพื่อการอัปเดตข่าวสาร หรือติดต่อสื่อสารอยู่แล้ว
ดังนั้น การทำโฆษณาในหลายช่องทางเพื่อเพิ่มโอกาสสร้างยอดขาย จึงเป็นประเด็นน่าสนใจ โดยผสานทั้งการใช้จุดเด่นจาก Social Media อย่างเช่น เฟซบุ๊ก หรือ IG ในด้านการสื่อสารที่เพิ่ม Visibility และ Engagement เพิ่มการรับรู้สินค้าและแบรนด์ร้านให้ลูกค้าภายนอกรู้จักมากขึ้น ดึงลูกค้าใหม่ๆ ขณะเดียวกัน มีการทำโฆษณา Shopee Ads ควบคู่ไปด้วย ผลลัพธ์ (gain) ก็ยิ่งทวีคูณขึ้นไปอีก เพราะจะเพิ่ม “การมองเห็น” ที่เน้น “ลูกค้าที่เข้ามาบนแพลตฟอร์ม” เพื่อซื้อสินค้า เรียกว่าได้ผลตอบแทนเทียบได้กับ 1+1 = 3 คือสามารถเพิ่มลูกค้าได้มากถึง 3 เท่าจากทั้งนอกและในแพลตฟอร์มของช้อปปี้
กูรูจาก Shopee แนะนำว่า นักขายออนไลน์มือใหม่ หรือมือเก่าที่ยังไม่เคยลงโฆษณาสินค้า/ร้านค้า ควรต้องสำรวจเช็คลิสต์ 4 ข้อต่อไปนี้ให้พร้อม ได้แก่ 1.เตรียมความพร้อมของสินค้า (Products) กรณีมีสินค้าหลายประเภท ต้องเริ่มคิดว่าควรเลือกสินค้าตัวไหนมาทำโฆษณา อาจเลือกสินค้าที่กำไรสูง เพื่อนำกำไรมาต่อยอด สินค้าที่เป็น Mass หรือสินค้าที่กำลังจะเป็นกระแส ซึ่งกรณีหลังนี้สามารถทำ Ads ไว้ล่วงหน้าได้ 2.ทำให้สินค้าน่าสนใจ สร้างความน่าเชื่อถือให้สินค้า และต้องมั่นใจว่าทำสต็อกที่พร้อมส่งรอไว้ เพื่อไม่ให้เสียโอกาสทำยอดขาย 3.เริ่มลงมือทำโฆษณา แนะนำให้ทำ Keywords Ads ไว้อย่างน้อยสินค้าละ 10 คำขึ้นไป หลังจากทำการตั้งค่าโฆษณา และอีก 1-2 สัปดาห์ถัดไป ต้องกลับมาทบทวนผลลัพธ์เพื่อปรับเปลี่ยนให้ได้ผลตามเป้าหมาย เช่น keyword ไหนไม่เวิร์คก็ตัดออกไป และ 4.ตั้งเป้าหมายการเติบโตของร้าน เช่น จ่ายค่าทำโฆษณาไปเท่านี้ อยากได้กำไรคืนมากี่เปอร์เซ็นต์ เป็นต้น เพราะเป็นตัวกำหนดประสิทธิภาพการโฆษณาให้ได้ผล
ทั้งนี้ แพลตฟอร์ม Shopee จะมีการทำโปรโมชั่นต่างๆ ช่วยเพิ่มโอกาสการขายให้กับผู้ค้าด้วย เช่น มีโค้ดส่วนลดให้ลูกค้าเก็บไว้ก่อนเพื่อซื้อในภายหลัง มีการทำ Flash Sale ที่ลูกค้ากลุ่ม “สายช้อปชอบส่อง” บ่อยครั้งที่ “ถูกตก” แม้ไม่ได้ตั้งใจซื้อ แต่เมื่อเห็น ads เด้งขึ้นมาก็รู้สึกอยากมีสินค้าตัวนั้นๆ เป็นต้น
เทคนิคการทำให้ร้านค้าดูเป็นมืออาชีพ
จุดประสงค์ของการทำโฆษณาร้านค้าออนไลน์ ก็คือ ทำให้คนมองเห็น แต่ทั้งนี้จำเป็นต้องมีเทคนิคให้คนเห็นแล้วสนใจ อยากคลิกซื้อด้วย กูรูจาก Shopee ได้สรุป 3 ขั้นตอนพื้นฐานที่จะนำพาไปสู่การสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ ประกอบด้วย 1.มองเห็น 2.คลิกดู และ 3.ถูกใจ
ดังนั้นการออกแบบหน้าร้านหรือโชว์สินค้าบนช่องทางออนไลน์ จำเป็นต้องมีเทคนิคดึงดูดสายตาและผูกใจให้ลูกค้าเลือกเราในที่สุด องค์ประกอบหลักๆ ได้แก่ รูปภาพหน้าปก ใช้พื้นหลังสีเรียบๆ และเป็นสีที่จะช่วยให้สินค้าดูโดดเด่น น่าคลิกดู, เลือกสตูดิโอ โลเคชั่นเก๋ๆ สร้าง Inspiration ให้เห็นภาพว่าสินค้าตรงปก, โชว์การใช้งาน โดยเฉพาะสินค้าสายแฟชั่น เพราะผู้ซื้อไม่ได้ลองเอง ขณะที่ ถ้าเป็นสินค้าที่มีรายละเอียด หรือจำพวกเครื่องประดับ แนะนำให้ถ่ายภาพซูมให้ลูกค้าเห็นรายละเอียดขัดเจนด้วย
“ทำอย่างไรให้ลูกค้าถูกใจ คิดในมุมที่เราเป็นคนซื้อ ยิ่งเจ้านั้นๆ บอกรายละเอียดสินค้าชัดเจน เราไม่ต้องมีคำถามอะไรอีกแล้ว และเทียบรายอื่นๆ มีราคาเท่ากัน คะแนนรีวิวเท่ากัน เราก็จะเลือกเจ้านี้ เพราะไม่ต้องเสียเวลาแชทถามเพิ่มเติม อีกปัจจัยสำคัญมากสำหรับร้านค้าออนไลน์คือ บริการดี เพราะราคาไม่ใช่สำคัญอย่างเดียวเสมอไป เมื่อมีลูกค้าส่งข้อความ แม่ค้าตอบเร็ว ก็จะทำให้คะแนนรีวิวดี”
คีย์เวิร์ดปังๆ โดนตาลูกค้า โดนใจให้คลิกซื้อ
สิ่งสำคัญที่สุดในการโฆษณา คือต้องหา Keyword ที่ปัง ให้คนที่เข้ามาค้นหาสามารถเจอสินค้าของเรา โดยแนะนำให้ใช้ Google Trends เป็นเครื่องมือตรวจสอบความปังของคำค้นหาที่ร้านค้าออนไลน์จะเลือกใช้ ขั้นตอนดังนี้
1. พิมพ์คำว่า Google Trends เมื่อแสดงหน้าจอขึ้นมา ก็ลองใส่คำที่เกี่ยวกับสินค้าของร้านที่อยากจะใช้เข้าไป 5 คำ เช่น ถ้าสินค้าเป็นกางเกง ก็ใส่คำที่คิดไว้ กางเกงขาสั้น กางเกงขายาว กางเกงเอวสูง กางเกงทำงาน กางเกงขาบาน
2. เข้าไปตั้งค่าอื่นๆ ได้แก่ ระบุชื่อประเทศที่เป็นเป้าหมาย ขายของในเมืองไทย ก็ใส่ชื่อประเทศไทย
3.ระบุช่วงเวลาที่ต้องการดูแนะนำ 30 – 90 วัน เพื่อให้เห็นกราฟเปรียบเทียบได้ชัดเจน โดยสินค้าแฟชั่นหรือสินค้าประเภทมาไว-ไปไว กำหนดไว้ 30 วัน แต่ถ้าเป็นสินค้าประจำวันสามารถเลือกไว้ 90 วัน
4.ระบุจุดประสงค์ที่จะนำไปวิเคราะห์ใช้งาน ให้เลือกที่ All Category เพื่อให้ครอบคลุม
และ 5. ระบุแหล่งค้นหา ได้แก่ Web Search, Youtube Search, Google Shopping เพื่อดูว่ามีการค้นหาคำเหล่านี้มากน้อยแค่ไหนผ่านช่องทางเหล่านั้น ซึ่งกูรูแนะนำ Web Search เป็นพิเศษ เมื่อทำครบทุกขั้นตอนแล้ว หน้าจอจะแสดงกราฟฟิกเปรียบเทียบให้เห็นว่า คำไหน (Keyword) มีคนค้นหาสูงสุด ซึ่งข้อมูลนี้จะทำให้เราเตรียมงบทำโฆษณาไว้สำหรับคำยอดฮิต ก็อาจเสนอราคาประมูลสูงขึ้นเล็กน้อย เพื่อชิง “ตำแหน่งที่ดี” ในการมองเห็นของลูกค้า
และเคล็ดไม่ลับที่ร้านค้าออนไลน์ควรรู้ก็คือ ตำแหน่งโฆษณาสินค้าที่ดีที่สุด คนมองเห็นง่ายสุด เพิ่มโอกาสสร้างยอดขายได้ต่อเนื่อง สำหรับคนที่เข้ามาผ่านแอปมือถือก็คือ ตำแหน่งที่ 1-2 แต่ถ้าเป็นการใช้งานผ่านเว็บไซต์/คอมพิวเตอร์ จะเป็นตำแหน่ง 1-5 และ 46-50
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการ SME และผู้สนใจ สามารถติดตามกิจกรรมพัฒนาเครือข่าย Digital Content ภายใต้โครงการสนับสนุนเครือข่าย SME ปี 2564 ใน ได้ที่เฟสบุ๊คเพจ https://www.facebook.com/DCCluster