นพ.สุทธิพงษ์ ตรีรัตน์ ผู้อำนวยการแพทย์ รัตตินันท์ เมดิคอล เซ็นเตอร์ กล่าวว่า ธุรกิจเสริมความงามของรัตตินันท์ เมดิคอล เซ็นเตอร์ ได้เปิดให้บริการมานานแล้วกว่า 22 ปี ซึ่งในปี 2564 ถือเป็นปีที่ตนเองมองว่าสมควรแก่การรีแบรนด์ดิ้งครั้งใหญ่ จากเดิมใช้ชื่อแบรนด์ว่า “Rattinan Clinic” เปลี่ยนเป็นแบรนด์ใหม่ “Rattinan Medical Center” เนื่องจากต้องการขยายขอบเขตการให้บริการ จากศัลยกรรมเสริมความงาม สู่การเป็นศูนย์การแพทย์เฉพาะทางที่มีมาตรฐานระดับสากล เพื่อให้การดูแลรักษาอย่างครบวงจรภายใต้การบริหารที่ยึดหลักจริยธรรมทางการแพทย์ในการดำเนินงาน สำหรับแผนกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจของ Rattinan Medical Center ในปีนี้จะเน้นเรื่องของการรักษาเฉพาะทางมากขึ้นอย่างมีคุณภาพแต่ยังควบคู่ไปกับการทำศัลยกรรมตกแต่งความงาม ทั้งนี้เพื่อเป็นการขยายฐานลูกค้าให้มีความหลากหลายมากขึ้น และตรงกับความต้องการของลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการ อาทิ การส่องกล้องรักษากรดไหลย้อน การผ่าตัดกระเพาะแบบOverstitch การรักษาไซนัสด้วยการทำบอลลูน
นอกจากนี้ รัตตินันท์ เมดิคอล เซ็นเตอร์ ยังเตรียมนำนวัตกรรมเทคโนโลยีทางด้านการรักษาในด้านอื่น ๆ เข้ามาเพิ่มเติมอีกด้วย ซึ่งนวัตกรรมการรักษาในลักษณะดังกล่าวยังอยู่ในระหว่างการพัฒนาและศึกษาแผนการรักษาคาดว่าจะสามารถใช้เวลาไม่นานในการสรุปผล รวมถึงเรื่องของการได้รับใบรับรอง Certified Operating Room มาตรฐานห้องผ่าตัดใหญ่ จากกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งจะทำให้เรากลายเป็นสถานพยาบาลที่มีความพร้อมในการให้บริการทั้งการผ่าตัดขนาดใหญ่ การดมยาสลบ การผ่าตัดส่องกล้อง ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการเตรียมทีม และเพิ่มแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ทางด้านศัลยกรรมตกแต่ง และจะทำให้รัตตินันท์ เมดิคอล เซ็นเตอร์ สามารถเพิ่มสายผลิตภัณฑ์จากเดิมที่เคยโฟกัสเรื่องของรูปร่างเฉพาะส่วนปรับมาให้บริการด้านการรักษาโรคเฉพาะทางได้หลากหลายขึ้น นอกจากนี้ยังเตรียมปรับปรุงระบบภายในเพื่อรองรับ การเติบโตในอนาคต ทั้งการปรับผังองค์กร และเพิ่มจำนวนพนักงาน และจัดทำระบบ CRM เพื่อทำให้ระบบการทำงานหลังบ้านมีประสิทธิภาพ โดยการพัฒนาระบบทั้งหมดนอกจากจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ยังช่วยเพิ่มความปลอดภัยมาก
ในขณะที่แผนการสื่อสารเพื่อสร้างการรับรู้ให้กับลูกค้านั้น รัตตินันท์ เมดิคอล เซ็นเตอร์ เน้นการให้ข้อมูลกับลูกค้าอย่างถูกต้องและเหมาะสม ไม่มีการชี้ชวนหรือโฆษณาเกินจริงเพื่อให้ลูกค้าเกิดความหลงเชื่อและเข้ามาใช้บริการโดยไม่สมัครใจ เนื่องจากผู้บริหารและทีมแพทย์ของรัตตินันท์ เมดิคอล เซ็นเตอร์หลายท่านมีประวัติการทำงานที่ดีกับโรงพยาบาลที่มีชื่อเสียงหลายแห่ง ดังนั้นการสร้างแบรนด์จึงเน้นไปที่เรื่องความน่าเชื่อถือ และการรักษาที่มีคุณภาพ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้บริหารยึดถือเป็นแนวทางการทำงานตลอดระยะเวลา 22 ปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ รัตตินันท์ เมดิคอล เซ็นเตอร์ จึงไม่ได้ทำเพียงแค่การรีแบรนด์ใหม่เท่านั้น แต่ยังได้ทำการเปลี่ยนโมเดลธุรกิจจากธุรกิจศัลยกรรมเสริมความงาม เพื่อก้าวขึ้นสู่การเป็นโรงพยาบาล หรือศูนย์การแพทย์ ที่สามารถรับการรักษาโรคอื่นๆได้เพิ่มขึ้น ซึ่งมองว่าในอนาคตอีก 5 ปีข้างหน้าจะสามารถไปถึงเป้าหมายที่วางไว้สำหรับกลุ่มลูกค้าในช่วงหลายปีที่ผ่านมานั้น จะแบ่งเป็นลูกค้าในประเทศ 75% และลูกค้าต่างชาติ 25% ซึ่งลูกค้าต่างชาติส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มทางทวีปยุโรป ออสเตรเลีย รวมไปถึงจีน โดยส่วนใหญ่บินมาเพื่อทำการผ่าตัดลดขนาดกระเพาะเพื่อรักษาโรคอ้วน และบรรเทาโรคแทรกซ้อนจากโรคอ้วน อาทิ เบาหวาน กรดไหลย้อน โรคหยุดหายใจขณะหลับ โดยไม่ได้เป็นการรักษาเพื่อความงาม แต่เป็นการรักษาโรคอ้วน โดยทางรัตตินันท์ เมดิคอล เซ็นเตอร์ ได้มีทีมแพทย์สหสาขาวิชาชีพ (multidisciplinary teamwork) เข้ามาดูแลและร่วมรักษา อย่างเช่นแพทย์รักษาต่อมไร้ท่อ วิสัญญีแพทย์ และมีการดูแลเรื่องเบาหวานและความดัน ทั้งก่อนและหลังการผ่าตัด พร้อมกับมีการนำเทคโลยีสมัยใหม่เข้ามาร่วมใช้ในการรักษาอีกด้วย
นพ.สุทธิพงษ์ กล่าวว่า หลังจากที่การระบาดของโรคโควิด-19 กลับมาระบาดระลอกใหม่อีกครั้ง ส่งผลให้ลูกค้าต่างชาติที่ต้องการเดินทางมาเพื่อทำการรักษากับทางรัตตินันท์ เมดิคอล เซ็นเตอร์โดยเฉพาะหายไปทั้งหมด เหลือเพียงแต่ลูกค้าต่างชาติที่ทำงานอยู่ในประเทศไทยเท่านั้น ที่ยังคงมาเข้ามาใช้บริการอยู่บ้าง แต่ถือว่าน้อยมาก จึงมองว่าปีนี้เป็นปีที่ยากลำบากอีก 1 ปี
สำหรับภาพรวมของธุรกิจศัลยกรรมความงามในปีนี้มองว่า ยังคงมีการเติบโต โดยปัจจัยมาจากคนทำศัลยกรรมมีอายุน้อยลง จากเดิมคนที่ทำศัลยกรรมอายุจะอยู่ระหว่าง 35-60 ปี ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงคิดสัดส่วนอยู่ที่ 25% ของประชากร แต่ปัจจุบันกลุ่มที่ทำศัลยกรรมความงามไม่ได้มีแต่เพียงผู้หญิงอย่างเดียวแต่จะมีทั้งผู้หญิงและผู้ชาย โดยแบ่งได้ตามกลุ่มอายุ 3 กลุ่มโดยกลุ่มแรกเป็นกลุ่มที่มีอายุน้อยกว่า 35 ปีลงมา กลุ่มต่อมาคือ กลุ่มที่มีอายุระหว่าง 35-55 ปีขึ้นไป และกลุ่มสุดท้ายคือผู้ที่มีอายุมากกว่า 55 ปีขึ้น ส่งผลให้ตลาดมีการเติบโตเป็น 2 เท่า จึงทำให้ธุรกิจศัลยกรรมเสริมความงามยังเป็นธุรกิจที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง