ไร่ชาวาวี ตั้งอยู่บนดอยวาวี พื้นที่ปลูกชาที่ใหญ่ที่สุดในไทย และยังเป็นไร่ชาอู่หลงแห่งแรกของไทยอีกด้วย
ชาที่ปลูกบนดอยมีหลายสายพันธุ์ ทั้งพันธุ์เมือง, ชาซีลอน, ชาจีน, ชามังกรดำ หรือ ชิงชิงอู่หลง
ท่ามกลางอากาศบริสุทธิ์สูงกว่าระดับน้ำทะเลเกิน 1,000 ฟุต
ชาของที่นี่จึงโดดเด่นและเลื่องลือไปทั่วโลก
แต่ในอดีตที่ผ่านมา ชาวบ้าน ต.วาวี อ.แม่สรวย จ.เชียงราย ปลูกชากันโดยไม่ได้นำนวัตกรรมหรืองานวิจัยพัฒนาต่อยอด
เน้นการใช้สารเคมีเป็นตัวเร่งผลผลิต เมื่อผลผลิตออกมาก็เก็บใบชาไปขายให้พ่อค้าคนกลางในราคากิโลกรัมละ 30-40 บาท
เป็นอย่างนี้มาเนิ่นนาน!
ในเวลาต่อมา ชาจากจีนและเวียดนามถูกนำเข้ามาจำหน่ายในเมืองไทยได้โดยไม่เสียภาษี ตามข้อตกลงการเปิดเสรีทางการค้าคือเอฟทีเอไทย-จีน และ เอฟทีเออาเซียน-จีน
เมื่อชาจากต่างประเทศทะลักเข้ามาชาวาวีจึงไม่สามารถแข่งขันได้
วิสาหกิจชุมชน ต.วาวี จึงได้รวมตัวกันทำเรื่องขอความช่วยเหลือจากกองทุนเอฟทีเอของกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งเป็นกองทุนช่วยเหลือวิสาหกิจชุมชนและกลุ่มผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรีทางการค้าหรือเอฟทีเอนั่นเอง
เมื่อผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์เข้าไปศึกษาก็พบว่าปัญหาของการผลิตชาวารีคือ ไม่มีการใช้นวัตกรรมมาเพิ่มมูลค่าสินค้า
จึงได้จัดงบประมาณจัดจ้างนักวิชาการเข้าไปศึกษาเก็บข้อมูล และนำวิธีบริหารจัดการสมัยใหม่เข้าไปประยุกต์ใช้
เริ่มตั้งแต่ปรับเปลี่ยนระบบการเพาะปลูก
จากเดิมที่เน้นการใช้สารเคมีก็ส่งเสริมให้ผลิตแบบการเกษตรอินทรีย์ ซึ่งเป็นเทรนด์ของผู้บริโภค จนกระทั่งชาวาวีได้รับการรับรองการผลิตพืชอินทรีย์ (Organic Thailand) และ การรับรองการผลิตพืชอินทรีย์สหภาพยุโรป (อียู)
การช่วยเหลือของกองทุนเอฟทีเอไม่ได้เพียงทำให้กลุ่มผู้ประกอบการชาวาวีกลับมายืนหยัดต่อสู้กับชานำเข้าได้เท่านั้น
แต่ยังพัฒนากลุ่มวิสาหกิจผู้ผลิตชาวาวีให้สามารรถพัฒนาต่อยอดผลักดันราคาให้สูงขึ้น
จากเคยขายได้ 30-40 บาท/กก.
เป็น 3,000 บาท/กก.
เพิ่มขึ้นถึง 100 เท่า
สามารถสร้างโรงอบ โรงบ่ม และจำหน่ายโดยไม่ต้องผ่านพ่อค้าคนกลาง
พลิกสถานการณ์จากราคาใบชาอบแห้งที่อยู่ในระดับต่ำมาก จนไม่สามารถสร้างรายได้ที่มั่นคงให้แก่เกษตรกรและผู้ประกอบการในพื้นที่ เนื่องจากราคาชาใบอบแห้งที่เกษตรกรนำมาขายให้พ่อค้าคนกลางก่อนหน้านี้เพียงกิโลกรัมละ 30-40 บาทเท่านั้น
แต่หลังเปลี่ยนแปลงวิธีการเพาะปลูกจากการใช้สารเคมีมาสู่การทำเกษตรแบบอินทรีย์ ทำให้เกษตรกรและผู้ประกอบการในพื้นที่มีรายได้จากการปลูกและจำหน่ายใบชาเพิ่มขึ้นอย่างมาก
ตั้งแต่ 10 เท่าไปจนถึง 100 เท่า
นอกจากนี้ ยังพบว่าใต้พื้นดินดอยวาวี เป็นแหล่งน้ำแร่ขนาดใหญ่คุณภาพสูงที่รากชาชอนไชลงไปถึง
กลายเป็นชาชนิดเดียวในโลกที่ได้รับการบำรุงจากน้ำแร่
เมื่อพ่อค้าชาวจีนได้มาเห็นสถานที่ปลูกและกรรมวิธีการปลูกแบบเกษตรอินทรีย์ มีน้ำแร่เป็นอาหารเสริมก็ยอมรับว่ายอดชาวารีมีคุณภาพเยี่ยมที่สุดในโลก
โดยระดับราคาใบชาอบแห้งแบ่งเป็น 3 เกรดคือ
เกรด A เป็นส่วนยอดชา กิโลกรัมละ 3,000 บาท
เกรด B ยอดชา+1ใบ ราคากิโลกรัมละ 2,000-2,500 บาท
เกรด C ยอดชา + 2ใบ ราคากิโลกรัมละ 500-700 บาท
ปัจจุบันชุมชนมีรายได้จากการจำหน่ายชาและการส่งออกชาปีละนับร้อยล้านบาท!!