พ่อแม่แต่ละรุ่นมักสอนลูกว่า “เรียนให้เก่ง ๆ นะลูก โตขึ้นจะได้เป็นเจ้าคนนายคน” เชื่อกันมาเป็นร้อยปีและถ่ายทอดกันเป็นมรดกมานานพอ ๆ กัน และด้วยความเชื่อแบบนี้ เราจึงมี “เจ้าคนนายคน”เกลื่อนระบบบริการ โดยเฉพาะบริการของภาครัฐ
แล้วพอมีคนที่คิดแปลก คิดแยกไปจากคนอื่น โบราณก็จะว่าเขาคนนั้นเป็น “คนนอกคอก”เป็น “คนแหกคอก”
แต่ก็แปลกนะ“คนแหกคอก”ที่คิดดี ๆ ไม่เหมือนกับคนอื่นมักประสบความสำเร็จ
ประภัส ไชยเยศ หรือ เนม หนุ่มใหญ่วัย 26 ปีเป็นคนหนึ่งที่มีความคิดแตกต่างกับชาวบ้าน เขาเป็นศิษย์เก่าวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีร้อยเอ็ด ภูมิลำเนาอยู่ที่บ้านเหล่าหมากคำ ต.นาภู อ.ยางสีสุราช จ.มหาสารคาม เข้าเรียนเกษตรด้วยการแนะนำของ อภิมุข ศุภวิบูลย์ อดีตรองผู้อำนวยการวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีร้อยเอ็ด ที่ปัจจุบันเป็นรองผู้อำนวยการวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีมหาสารคาม
เลือกเรียนอาชีวะเพื่อเป็นเกษตรกรที่ดี
ครอบครัวของเนมมีฐานะปานกลาง พ่อเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล แม่เป็นเกษตรกร แม้พ่อแม่จะมีกำลังทรัพย์พอจะเรียนสายสามัญจนจบมหาวิทยาลัยได้ แต่ด้วยคำแนะนำของอภิมุขที่ว่า การเรียนอาชีวะเกษตรจะทำให้ผู้เรียนได้ปฏิบัติจนสามารถนำองค์ความรู้ที่ได้รับไปประกอบอาชีพได้เป็นอย่างดี ทำให้เขาตัดสินใจเข้าเรียนเกษตรอาชีวะ ด้วยความหวังแน่วแน่ว่าเมื่อจบออกไปจะไปเป็นเกษตรกรที่ดี โดยเลือกเรียนในสาขาวิชาสัตวศาสตร์ จนจบ ปวส.แล้วไปต่อปริญญาตรีที่สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตกาฬสินธุ์
นำสิ่งที่คนอื่นรังเกียจมาต่อยอด
เมื่อสำเร็จการศึกษาออกมาแรกเริ่มเขาตั้งใจว่าจะประกอบอาชีพการเกษตร แต่ทางครอบครัวต้องการให้ทำงานราชการหรือทำงานเอกชน เขาจึงไปสมัครเป็นลูกจ้างของกรมปศุสัตว์ ทำงานอยู่ที่สำนักงานปศุสัตว์ อำเภอพยัคฆภูมิพิสัย เขาคิดทุกวันว่าที่บ้านมีที่ดิน ทำไมตัวเองต้องมาเป็นลูกจ้าง ความรู้ต่างๆ ที่เรียนมา รวมทั้งการได้รับการฝึกเรื่องความขยัน อดทน ก็มีพร้อม เย็นวันหนึ่งเนมเดินไปที่แปลงมันสำปะหลังของแม่ เขาคิดว่าการปลูกมันสำปะหลังมีรายได้ปีละครั้งเดียว น่าจะทำอะไรที่มันมีรายได้มากกว่านี้ ระหว่างที่เดินในไร่มัน เขาก็ได้กลิ่นขี้หมูโชยจากฟาร์มขนาดใหญ่ที่อยู่ติดกัน แค่ได้กลิ่นเขาก็ปิ๊งไอเดีย หมายมั่นว่าจะเอาไอ้ขี้หมูที่คนอื่นรังเกียจว่าเหม็นมาใช้ประโยชน์ให้ได้
คิดต่าง..เสริฟความเหมือน
ด้วยความที่ทำงานเป็นปศุสัตว์ ทำให้เนมได้เห็นคนในชุมชนบ้านเหล่าหมากคำและหมู่บ้าน
ใกล้เคียงในตำบลนาภู เกือบทุกครอบครัวเลี้ยง โค กระบือ บ้านละ 3 ตัวขึ้นไป แต่ทุกครอบครัวกลับไม่มีแปลงปลูกหญ้าอาหารสัตว์เลย ต้องไปตัดเอาจากทุ่ง เขาจึงขอแบ่งแปลงมันของแม่มา 2 ไร่ เพื่อปลูกหญ้าเนเปียร์พันธุ์ปากช่อง แล้วเอาความรู้เรื่องระบบชลประทานและการให้น้ำที่เคยเรียนมาใช้ ด้วยความที่พื้นที่ของเขาลาดเอียง เขาจึงขุดร่องแล้วดึงน้ำจากฟาร์มหมูเข้ามาเอ่อล้นแปลงหญ้า ผลที่ได้นอกจากจะช่วยให้หญ้างามแล้วยังช่วยแก้ปัญหากลิ่นเหม็นที่ชุมชนรังเกียจไปพร้อมกัน หลังเลิกงานเขาก็มาขายหญ้า โดยใช้การตลาดนำหน้า เอาหลักวิชาที่เรียนเที่ยวแนะนำชาวบ้านให้หันมาใช้หญ้าเนเปียร์ปากช่องเลี้ยงวัวควาย บอกด้วยว่าหญ้าที่เหมาะกับการเลี้ยงจะต้องมีอายุระว่าง 45-60วัน ทำให้ชาวบ้านเริ่มสนใจ ทุกเย็นก็จะมาซื้อหญ้า ราคาที่ขายนั้นถ้าคนซื้อตัดเองก็กิโลละ 1 บาท แต่ถ้าตัดให้กิโลละ 1.50 บาท ถ้าตัดและสับให้ด้วยกิโลละ 2 บาท
เมื่อหญ้าขายดีเขาก็ขยายพื้นที่ปลูกเป็น 20 ไร่ ทำให้เขามีรายได้วันละ 500 บาท ในที่สุดก็ตัดสินใจลาออกจากการเป็นลูกจ้างกรมปศุสัตว์ ปัจจุบันเขามีแปลงหญ้า 80 ไร่ มีรายได้จากการขายหญ้าเดือนละประมาณ 60,000 บาท
เนม มีแนวคิดเรื่องการตลาดหญ้า โดยแบ่งลูกค้าเป็นกลุ่มๆ ถ้าเป็นเกษตรกรรายย่อยที่เลี้ยงโค กระบือ พวกนี้ต้องการหญ้าวันละ 1-1.5 ตัน ลูกค้าจากปางช้างต้องการหญ้าเนเปียร์ปากช่องอายุ 70 วันขึ้นไป สัปดาห์ละ 10 ตัน ขายได้ตันละ 700 บาทโดยลูกค้าต้องตัดเอง และลูกค้าจากส่วนราชการที่มาซื้อแจกเกษตรกร
เนมรู้ว่าการปลูกหญ้านั้นอีกไม่นานจะต้องมีคู่แข่งแน่นอน แต่เขาก็คิดวิธีแก้ไว้แล้ว แต่เนื่องจากเป็นกลยุทธ์ทางการค้าจึงยังไม่ขอเปิดเผย
ถ่ายทอดความรู้คืนสู่แผ่นดิน
เมื่อครูอภิมุขมีบุญคุณกับเขา เนมก็ทดแทนบุญคุณครูด้วยการรับคำเชิญมาเป็นครูสอนอาชีพการเลี้ยงสัตว์ใหญ่ ให้กับนักศึกษาในโครงการอาชีวศึกษาเพื่อการพัฒนาชนบท (อศ.กช.) ท่านรองฯอภิมุขต้องการให้ลูกศิษย์ อศ.กช.ซึ่งมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับพ่อแม่ของเนม ได้เห็นความสำเร็จของหนุ่มใหญ่คนนี้ที่เกิดจากการ “คิดไม่เหมือนใคร”เพื่อให้เกิดแรงกระตุ้นกับคนรุ่นเก่าที่หัวทันสมัย โดยท่านหวังว่า รุ่นใหญ่จะมีไอเดียใหม่ ๆ มาปะทะกับรุ่นเด็ก ซึ่งจะกลายเป็นผลดีต่อกิจกรรมเกษตรไทยในอนาคต
ขอยกย่องให้ ประภัส ไชยเยศ เป็นหนึ่งใน “คนดีศรีอาชีวะ” พร้อมกันนี้ก็ขอยกย่อง อภิมุข ศุภวิบูลย์ ว่าเป็นหนึ่งใน “ครูดีศรีแผ่นดิน”