โลกเปลี่ยน..อาหารเปลี่ยน..การผลิตเปลี่ยน By…Econ

1684

ภายในปี 2050 หรืออีกไม่ถึง 30 ปีต่อจากนี้ หน้าตาของอาหารจะเปลี่ยนไปตามสภาพการณ์ของโลกที่เปลี่ยนแปลง

คนมากขึ้น ความต้องการบริโภคมากขึ้น แต่พื้นที่ผลิตอาหารกลับน้อยลง

ในอนาคต

‘ฟาร์มหมู’ หรือ ‘ฟาร์มวัว’

จะหายไปจำนวนมาก

เนื่องจากพื้นที่มีปริมาณจำกัด และมลภาวะในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากฟาร์มเหล่านี้ที่ส่งผลต่อโลกร้อน ทำให้มนุษย์ลดการบริโภคเนื้อหมู และ เนื้อวัว โดยหันไปบริโภคเนื้อสัตว์เล็กที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมแทน

ฟาร์มปลา ฟาร์มแมลง จะเข้ามาแทน

ด้วยการใช้พื้นที่น้อยกว่า และ ไม่ก่อปัญหาโลกร้อน

ส่วนเนื้อหมูและเนื้อวัวจะถูกผลิตด้วยรูปแบบอื่น

ไม่ใช่ในฟาร์ม

แต่เป็น…

ห้องแล็บ!

Cultured Meat

หนึ่งนวัตกรรมอาหารแห่งโลกอนาคต

 

ข้อมูลจาก Economic Intelligence Center หรือ EIC ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินว่า เทคโนโลยีการเลี้ยงเนื้อในห้องแล็บหรือ Cultured meat จะแก้ปัญหาความไม่มีประสิทธิภาพของการเลี้ยงสัตว์ในปัจจุบันเพื่อรองรับความต้องการบริโภคเนื้อสัตว์ที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น โดยในระยะสั้นจะมีการบริโภคเพียงเฉพาะกลุ่ม แต่ในระยะยาวอาจมีการบริโภคมากขึ้นหากมีคุณสมบัติที่ใกล้เคียงหรือดีกว่าเนื้อทั่วไป และราคาลดลงมากพอที่จะแข่งขันกับเนื้อทั่วไปได้

แบบนี้ต้องร้อง…

ว้าววววว

รายงานจาก EIC ระบุอีกว่าปัจจุบันมีเทคโนโลยีใหม่ที่เริ่มเป็นที่พูดถึงคือการเลี้ยงเนื้อในห้องแล็บหรือ Cultured Meat โดยเริ่มจากการนำสเต็มเซลล์ของสัตว์ต้นแบบมาเพาะเลี้ยงในถังหมัก (bioreactor) ในอุณหภูมิที่เหมาะสมด้วยน้ำเลี้ยง (culture medium) ที่มีสารอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของสเต็มเซลล์ ทำให้เนื้อแต่ละชนิดต้องการการเลี้ยงในสภาพที่แตกต่างกัน

ขณะนี้สตาร์ทอัพทั่วโลกกำลังพัฒนาเทคโนโลยีการเลี้ยงเนื้อสัตว์ใน Cultured meat ที่ต่างกันไป คือผลิตได้ทั้งเนื้อวัว เนื้อไก่ เนื้อหมู และเนื้อปลาทูน่า เป็นต้น

ด้วยต้นทุนที่ต่ำลงเรื่อยๆ

จากสถิติ 5 ปี ต้นทุนการผลิต Cultured meat ได้ลดลงอย่างรวดเร็ว

ปี 2013 มีการนำเสนอ Cultured beef burger ผ่านทางโทรทัศน์ครั้งแรกในสหราชอาณาจักร โดยทีมนักวิทยาศาสตร์ จากมหาวิทยาลัย Maastricht ประเทศเนเธอร์แลนด์ ซึ่งขณะนั้นต้นทุนอยู่ที่ 478,993 ดอลลาร์สหรัฐต่อกิโลกรัม

คิดเป็นเงินบาทก็แค่ 14,848,7831 ล้านบาท

โอวววววววววววว

แต่หลังจากนั้นมีจำนวนสตาร์ทอัพเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว มากกว่า 30 รายทั่วโลกส่วนใหญ่อยู่ในสหรัฐอเมริกา ยุโรป และอิสราเอล ส่งผลให้การแข่งขันเพิ่มสูงขึ้น และต้นทุนการผลิตลดลง

ยกตัวอย่าง

ต้นทุนการผลิต Cultured beef ของบริษัท Mosa Meat ลดลงเป็น 95,798 และ 8,164 ดอลลาร์สหรัฐต่อกิโลกรัม  ในปี 2015 และ 2016 ตามลำดับ และบริษัทอื่นๆ ก็มีทิศทางเดียวกัน

คาดว่าจะลดลงเหลือ 14.5 ดอลลาร์สหรัฐต่อกิโลกรัมในปี 2020

หรือ

449.5 บาทต่อกิโลกรัม

แม้ในช่วงแรก เนื้อที่ผลิตได้เป็นเพียงเนื้อบด ไม่สามารถทำเป็นชิ้นเนื้อได้ แต่ในเดือนธันวาคม 2018 บริษัท Aleph Farms ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพสัญชาติอิสราเอลสามารถผลิตสเต๊กเนื้อวัวได้เป็นครั้งแรก ด้วยต้นทุนเพียง 50 ดอลลาร์สหรัฐต่อชิ้น กระนั้นก็ตาม ปัจจุบันยังไม่มีบริษัทใดสามารถผลิตและขายในเชิงพาณิชย์ได้เนื่องจากต้นทุนที่ยังสูงกว่าเนื้อธรรมดา และยังไม่มีกฎหมายรองรับ

 

EIC มองว่า การผลิตและการบริโภค Cultured meat จะแพร่หลายได้ ต้องแก้ไขความท้าทายในหลายด้าน

คือ…

  1. Cost reduction หมายถึง ต้นทุนการผลิตเนื้อด้วยเทคโนโลยี Cultured meat ต้องลดลงมากพอที่จะแข่งขันกับเนื้อสัตว์ที่ผลิตด้วยวิธีปัจจุบันได้ จึงจะทำให้ผู้บริโภคหันมาลองบริโภค Cultured meat มากขึ้น ทั้งนี้ต้นทุนการผลิตเนื้อวัวของบริษัท Future Meat ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพสัญชาติอิสราเอลที่เคยอยู่ที่ 799.6 ดอลลาร์สหรัฐต่อกิโลกรัมในปี 2018 จะลดลงเหลือ 5.1 ดอลลาร์สหรัฐต่อกิโลกรัม ในปี 2020 ขณะที่ ราคาเนื้อวัวอยู่ที่ 7.2 ดอลลาร์สหรัฐต่อกิโลกรัม
  2. Regulatory approval หมายถึง การรองรับของกฎหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยและสารอาหารที่ได้รับ จะทำให้ผู้บริโภคมีความมั่นใจที่จะบริโภค Cultured meat มากขึ้น ซึ่งเนื้อที่ผลิตโดยวิธีปัจจุบันอาจมีการปนเปื้อนเชื้อโรค อาทิ ซาลโมเนลลา อีโบลา ไข้หวัดนก และไข้หวัดหมู รวมถึงมีการใช้ยาปฏิชีวนะจำนวนมาก ส่วน Cultured meat เลี้ยงในสภาวะปลอดเชื้อทำให้ไม่มีเชื้อโรคและยาปฏิชีวนะ ส่วนเรื่องสารอาหารใน Cultured meat จะได้รับการรับรองว่ามีสารอาหารใกล้เคียงกับเนื้อธรรมดา และมีไขมันที่ไม่มีประโยชน์ในปริมาณที่ต่ำกว่า ซึ่งหากได้รับการรองรับทางกฎหมาย จะทำให้ Cultured meat สามารถวางขายได้ตามร้านค้าทั่วไปได้อีกด้วย ทั้งนี้ ในเดือนพฤศจิกายน 2018 สหรัฐฯ ได้กำหนดให้มีการตรวจสอบความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ Cultured meat โดยองค์การอาหารและยา (U.S. Food & Drug Administration: FDA) และกระทรวงเกษตรสหรัฐฯ (U.S. Department of Agriculture: USDA) แล้ว
  3. Customer acceptance หมายถึงการยอมรับของผู้บริโภค Cultured meat จะเกิดขึ้นได้จำเป็นต้องมีความต้องการของผู้บริโภคที่แพร่หลายมากเพียงพอ จากผลการสำรวจของ Michigan State University ระบุว่า ในสหรัฐฯ ผู้บริโภคที่มีอายุ 18-39 ปี มีความยินดีที่จะบริโภค Cultured meat มากกว่าคนที่มีอายุมากกว่า สะท้อนว่าการบริโภค Cultured meat เกิดขึ้นกับคนวัยรุ่นถึงวัยกลางคนเป็นหลัก และจากการสำรวจของ Wim Verbeke, Poerre Sans และ Ellen J. Van Loo พบว่า ยิ่งผู้บริโภคได้รับความรู้เรื่องประโยชน์ของ Cultured meat มากขึ้น จะยิ่งมีความยินดีที่จะลองบริโภค ซื้อ และจ่ายในราคาพรีเมียมให้กับ Cultured meat มากขึ้น

สำหรับประเทศไทย ยังไม่มีปัจจัยหนุนให้มีการบริโภค Cultured meat เทคโนโลยีนี้จึงจะยังไม่เกิดขึ้นในไทยในระยะสั้น จึงยังไม่มีผู้พัฒนาเทคโนโลยีนี้ในไทยและยังไม่มีการรับรองของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

อย่างไรก็ตาม คาดว่าจะมีการผลิต Cultured meat เชิงพาณิชย์ในสหรัฐฯ ก่อนเพราะมีบริษัทที่พัฒนาเทคโนโลยีนี้อยู่จำนวนมาก พร้อมทั้งผลสำรวจกับผู้บริโภคที่แสดงถึงโอกาสในการยอมรับมากขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงหน่วยงานภาครัฐของสหรัฐฯ เองก็ให้ความสำคัญกับการกำกับดูแลเทคโนโลยีนี้ อย่างไรก็ดี จากความนิยม Cultured meat ที่น่าจะเพิ่มขึ้นในต่างประเทศแล้ว อาจทำให้มีการนำเข้ามาในไทยบ้าง แต่น่าจะอยู่ในรูปแบบของสินค้านำเข้าสำหรับอาหารทางเลือก และ จับลูกค้าเฉพาะกลุ่ม

 

EIC คาดว่า ในระยะยาวการผลิตและการบริโภค Cultured meat จะได้รับการยอมรับมากขึ้นเรื่อยๆ ในหลายๆ ประเทศ ด้วยสาเหตุดังต่อไปนี้

  1. Supply Shortage หมายถึงการผลิตที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการ โดยองค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (Food and Agriculture Organization of the United Nations: FAO) คาดว่า ความต้องการเนื้อสัตว์เพื่อบริโภคทั้งโลกจะเพิ่มขึ้นถึง 73% จากปี 2005 ถึง 2050 จากการเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากรกว่า 49% หรือคิดเป็น 9,777 ล้านคนในปี 2050 จาก 6,542 ล้านคนในปี 2005 โดยเป็นการเพิ่มขึ้นของประชากรในประเทศรายได้ปานกลางเป็นหลัก ทำให้ต้องใช้พื้นที่และทรัพยากรเพื่อทำฟาร์ม ปศุสัตว์อีกกว่าเท่าตัวเพื่อรองรับความต้องการดังกล่าว ซึ่งหากใช้วิธีการผลิตเนื้อสัตว์ที่ทำอย่างในปัจจุบัน เราจะไม่มีพื้นที่เพียงพอในการเลี้ยงสัตว์ เพราะปัจจุบันพื้นที่เลี้ยงสัตว์คิดเป็นถึง 70% ของพื้นที่เกษตรทั้งหมดแล้ว ประกอบกับโรคระบาดในสัตว์อาจทำให้จำนวนสัตว์ลดลงด้วย เช่นการระบาดของโรคไข้หวัดนกในเอเชียทำให้สัตว์ต้องตายปีละกว่าหลายล้านตัว ด้วยสาเหตุดังกล่าว ทำให้ปริมาณเนื้อสัตว์ที่ผลิตได้ไม่เพียงพอต่อความต้องการบริโภคในอนาคต
  2. Environmental impact หมายถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ในปัจจุบันภาคส่วนต่างๆ กำลังเปลี่ยนไปสู่การเป็นมิตรต่อธรรมชาติมากขึ้น อาทิ การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด รถยนต์ไฟฟ้า ทางภาคปศุสัตว์เองก็จะต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน โดยภาคปศุสัตว์มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกถึง 18% ของการปล่อยทั้งหมด สูงกว่าภาคขนส่งเสียอีก ทำให้ต้องการเทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในภาคปศุสัตว์มากขึ้น โดยจากการศึกษาของ Hanna Tumisto จากมหาวิทยาลัย Oxford พบว่า เมื่อเปรียบเทียบกับการเลี้ยงสัตว์เพื่อบริโภคในปัจจุบัน Cultured meat ใช้พื้นที่น้อยกว่า 99% ใช้น้ำน้อยกว่า 96% ใช้พลังงานน้อยกว่า 45% และปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์น้อยกว่า 96%
  3. Indifferent quality หมายถึงผู้บริโภครู้สึกไม่แตกต่าง หาก Cultured meat สามารถพัฒนาให้มีรสชาติและรสสัมผัสใกล้เคียงกับเนื้อสัตว์มากจนผู้บริโภครู้สึกไม่แตกต่างระหว่าง Cultured meat และเนื้อธรรมดา รวมถึงขยายประเภทสัตว์ได้หลายชนิดมากขึ้น นอกจากนี้ หากสามารถเติมสารอาหารที่ต้องการ อาทิ วิตามิน แร่ธาตุ ไขมันดี ลงไปใน Cultured meat ที่มีเพียงโปรตีน ผ่านการปรับส่วนผสมของน้ำเลี้ยงสเต็มเซลล์ (cultured medium) จะทำให้ Cultured meat มีคุณค่าทางอาหารมากกว่าเนื้อธรรมดา และช่วยให้ผู้บริโภคหันมาบริโภคเนื้อที่ผลิตจาก Cultured meat มากขึ้น

 

แต่!!!

เทคโนโลยี Cultured meat อาจส่งผลกระทบต่อภาคปศุสัตว์และอาหารอย่างน้อย 3 ประเด็น

  1. Capital-intensive industry หมายถึงการเปลี่ยนผ่านจากอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้นเป็นอุตสาหกรรมที่ใช้เครื่องจักรเข้มข้น การเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลกระทบต่อทั้งผู้ประกอบธุรกิจและเกษตรกร โดยเจ้าของธุรกิจจะต้องลดการใช้แรงงาน และหันมาลงทุนสร้างห้องแล็บและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องแทน เช่น เครื่องหมัก (bioreactor) ตะแกรง (scaffolding) น้ำเลี้ยงสเต็มเซลล์ (cultured medium) เป็นต้น ส่วนเกษตรกรที่ทำปศุสัตว์ก็จะถูกแทนที่ด้วยเทคโนโลยี Cultured meat ทั้งนี้ไทยมีเกษตรกรที่เกี่ยวข้องกับภาคปศุสัตว์กว่า 2.9 ล้านคน ทำให้ทางภาครัฐและเอกชนต้องร่วมมือกันหาทางรับมือหรือปรับตัว หากเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น
  2. Self sufficiency หมายถึงการผลิตที่เพียงพอต่อความต้องการในประเทศ จะทำให้รูปแบบการค้าเนื้อสัตว์เปลี่ยนแปลงไป โดยไทยต้องหาตลาดส่งออกใหม่เพื่อทดแทนตลาดส่งออกในปัจจุบันหากประเทศดังกล่าวผลิต Cultured meat ได้เอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ญี่ปุ่นซึ่งเป็นตลาดส่งออกไก่กว่า 50% ของไทยที่ได้มีการพัฒนา Cultuted meat อยู่ ส่วนด้านการนำเข้าอาจกลายเป็นการนำเข้าสเต็มเซลล์ของสัตว์ที่ไม่สามารถผลิตได้ในประเทศแทนการนำเข้าเนื้อสัตว์นั้นๆ แทน
  3. Efficiency หมายถึงการผลิตเนื้อสัตว์ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้บริษัทลดการใช้ทรัพยากรในการผลิต เช่น พื้นที่ในการเลี้ยง อาหารสัตว์ น้ำ เป็นต้น และใช้เวลาในการเพาะเลี้ยงลดลงเหลือเพียง 3-6 สัปดาห์ ขณะที่การเลี้ยงสัตว์ด้วยวิธีปัจจุบันใช้เวลานานกว่า อาทิ เนื้อวัวที่ต้องเลี้ยงวัวกว่า 2 ปี นอกจากนั้น Cultured meat ยังสามารถ customise ความต้องการบริโภคของลูกค้าได้ ทำให้ภาคธุรกิจสามารถผลิตเนื้อสัตว์ได้ตรงตามความต้องการของลูกค้าและลดภาระด้านการบริหารสินค้าคงคลังลง

 

EIC มองว่า…

จากความต้องการบริโภคเนื้อสัตว์ที่มากขึ้น ขณะที่ทรัพยากรที่ใช้สำหรับการผลิตมีอยู่จำกัด รวมถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจะทำให้มีการผลิต Cultured meat เชิงพาณิชย์มากขึ้น

ดังนั้น หน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องควรเตรียมพร้อมที่จะแสวงหาโอกาสหรือรับมือผลกระทบที่จะเกิดขึ้น

ด้วยการติดตามพัฒนาของเทคโนโลยีนี้อย่างใกล้ชิด!!!