โควิดดันอุตฯประกันวินาศภัยปี’63 เติบโต 3.5%

871

สมาคมประกันวินาศภัยไทย เผยผลประกอบการธุรกิจประกันวินาศภัย ตั้งแต่เดือนมกราคม – เดือนกันยายน 2563 รวม 9 เดือนที่ผ่านมา มีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงรวม 184,368 ล้านบาท เติบโต 3.9% โดยคาดว่าทั้งปี 2563 เติบโต 2.5-3.5% มีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงรวม 250,000-252,600 ล้านบาท และคาดว่าปี 2564 จะมีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงรวม 250,000-262,500 ล้านบาท จะเติบโตราว 0-5.0% โดยการประกันภัยสุขภาพที่ไม่รวมส่วนของการประกันภัย COVID-19 จะมีโอกาสเติบโตมากกว่า

นายอานนท์ วังวสุ นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย เปิดเผยว่า ในปี 2563 ถือว่าเป็นปีที่ธุรกิจประกันวินาศภัยต้องฝ่าฟันกับภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยจากปัจจัยต่าง ๆ ทั้งผลกระทบจากการระบาดของ COVID-19 และความไม่แน่นอนทางการเมือง ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยปรับตัวลดลง 6.7% อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการธุรกิจประกันวินาศภัย รวม 9 เดือน ตั้งแต่เดือนมกราคม – เดือนกันยายนที่ผ่านมา ยังคงมีการเติบโต 3.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงรวม 184,368 ล้านบาท โดยการประกันภัยแต่ละประเภทยังคงมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี ในขณะที่การประกันภัยการเดินทางเติบโตติดลบเนื่องจากได้รับผลกระทบทางลบจากการระบาดของโรค COVID-19

ตัวเลขผลประกอบการธุรกิจประกันวินาศภัย ณ ไตรมาส 3 ของปี 2563 ยังคงมีแนวโน้มเติบโต ซึ่งเป็นผลมาจากการเติบโตของการประกันภัยรถยนต์ (0.2%) การประกันอัคคีภัย (0.5%) การประกันภัยทางทะเลและขนส่ง (2.3%) การประกันภัยเบ็ดเตล็ด (11.3%) โดยปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการเติบโตของเบี้ยประกันภัยรับโดยตรง ได้แก่ ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์ในประเทศที่มียอดขายติดลบน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ การปรับเพิ่มเบี้ยประกันภัยสำหรับกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจเพื่อให้สอดคล้องกับการปรับเพิ่มความคุ้มครองของสำนักงาน คปภ. การอุปโภคและการลงทุนของภาครัฐที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น การส่งเสริมการประกันภัยของภาครัฐในการนำระบบประกันภัยมาใช้เป็นเครื่องมือบริหารความเสี่ยงในโครงการประกันภัยพืชผล (โครงการประกันภัยข้าวนาปี และโครงการประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์) ผลกระทบจากการระบาดของ COVID-19 ซึ่งส่งผลกระทบทั้งทางบวกและลบต่อธุรกิจประกันวินาศภัยผลกระทบจากการระบาดของ COVID-19 ในปีนี้เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้การประกันภัยสุขภาพ เติบโตเพิ่มขึ้น (60%) ในขณะที่การประกันภัยการเดินทางเติบโตติดลบเป็นอย่างมาก (-61.4%) โดยจากข้อมูลตั้งแต่เดือนมกราคม – ตุลาคม 2563 พบว่า การประกันภัย COVID-19 นั้น มีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรง 4,102.5 ล้านบาท หรือเท่ากับ 1.6% ของเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงรวมของการประกันภัยทุกประเภท และมีจำนวนกรมธรรม์ประกันภัย COVID-19 รวมทั้งสิ้น 7.5 ล้านกรมธรรม์ ส่วนโครงการประกันภัยพืชผล (โครงการประกันภัยข้าวนาปี และโครงการประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์) นั้น มีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงรวม 4,084.32 ล้านบาท คิดเป็น 1.6% ของเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงรวมของการประกันภัยทุกประเภท แบ่งเป็นเบี้ยประกันภัยข้าวนาปีรับรวม 3,758.64 ล้านบาท และเบี้ยประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์รับรวม 325.68 ล้านบาท

ในส่วนของช่องทางการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ประกันวินาศภัยโดยรวม ณ ไตรมาส 3 ของปี 2563 นั้น ช่องทางขายผ่านนายหน้า (Broker) ยังคงเป็นช่องทางที่ทำรายได้ให้กับธุรกิจประกันวินาศภัยมากที่สุด โดยมีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงจากช่องทางนี้สูงถึง 109,097 ล้านบาท (58%) รองลงมาคือ ช่องทางขายผ่านตัวแทน (Agent) 25,711 ล้านบาท (14%) ช่องทางขายผ่านธนาคาร 22,230 ล้านบาท (12%) ที่เหลือเป็นการขายผ่านช่องทางอื่น ๆ ซึ่งยังไม่ได้เป็นช่องทางการขายที่เติบโตมากนัก ยกเว้นช่องทางการขายผ่านอินเทอร์เน็ตซึ่งแม้จะมีส่วนแบ่งในการสร้างเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงไม่มากนักเมื่อเทียบกับช่องทางการขายอื่น แต่กลับพบว่ามีการเติบโตเพิ่มขึ้น โดยมีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรง 794 ล้านบาท เติบโตเพิ่ม249% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยผลิตภัณฑ์ประเภทการประกันภัยรถยนต์และการประกันภัยสุขภาพสามารถขายผ่านช่องทางอินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้นได้เป็นจำนวนมาก

สำหรับภาพรวมอัตราความเสียหายของประกันวินาศภัยทุกประเภท ณ ไตรมาส 3 ปี 2563 อยู่ที่ 54.3% โดยการประกันภัยรถยนต์ยังคงเป็นการประกันภัยที่มีอัตราความเสียหายสูงกว่าการประกันภัยประเภทอื่น โดยมีอัตราความเสียหาย 61.5% อัตราความเสียหายของการประกันภัยรถยนต์ ไตรมาส 3 ปี 2563 ลดลงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากได้รับผลกระทบทางบวกจากมาตรการล็อกดาวน์ และเคอร์ฟิวเพื่อรับมือกับการระบาดของ COVID-19 ในช่วงต้นปีของรัฐบาล ส่งผลให้จำนวนรถยนต์ที่สัญจรบนท้องถนนลดลง โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ทำให้การเกิดอุบัติเหตุรถยนต์โดยรวมลดลง

ส่วนแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจประกันวินาศภัย ปี 2563 คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 2.5-3.5% มีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงรวม 250,000-252,600 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่จะทำให้มีเงินหมุนเวียนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ กระตุ้นการจับจ่ายใช้สอย เกิดการใช้จ่าย การผลิต การจ้างงานและสร้างรายได้ให้กับประชาชน การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ส่งผลให้มีการขยายตัวของการนำเข้าและส่งออก รวมทั้งกำลังซื้อรถยนต์บางส่วนในช่วงปลายปีจากโปรโมชั่นในงานมหกรรมยานยนต์

สำหรับปี 2564 คาดว่า ธุรกิจประกันวินาศภัยจะเติบโตเพิ่มขึ้นตามแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 2564 ที่คาดว่าจะเติบโต 3.5-4.5% โดยมีแรงสนับสนุนจากการฟื้นตัวของอุปสงค์ภายในประเทศ การปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้นของเศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลก แรงขับเคลื่อนจากภาครัฐจากการเบิกจ่ายภายใต้กรอบงบประมาณและมาตรการทางเศรษฐกิจ และฐานการขยายตัวที่ต่ำผิดปกติในปี 2563 ซึ่งมาจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่ส่งผลให้การเติบโตของเศรษฐกิจไทยลดลงแต่ปัจจุบันเริ่มฟื้นตัวขึ้นภายใต้แนวโน้มการฟื้นตัวของอุปสงค์ภายในประเทศ ภาคการส่งออกและภาคการผลิต การประมาณการยอดขายรถยนต์ใหม่ที่น่าจะเริ่มฟื้นตัวกลับมา ตลอดจนแนวโน้มที่ดีในเรื่องของความตื่นตัวในการป้องกัน COVID-19 ของประชาชน รวมทั้งการพัฒนาวัคซีนป้องกันโรค COVID-19 ซึ่งจะส่งผลให้การเดินทางและท่องเที่ยวฟื้นตัว ในขณะเดียวกันประชาชนเริ่มมีความรู้และมีความคุ้นเคยกับการทำประกันภัยสุขภาพเพื่อบริหารความเสี่ยงจากโรคภัยไข้เจ็บต่าง คาดว่า ธุรกิจประกันวินาศภัยในปี 2564 จะมีโอกาสขยายตัวประมาณ 0-5.0% เมื่อเทียบกับปี 2563 โดยมีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงรวม 250,000-262,500 ล้านบาท โดยในปี 2564 การประกันภัยสุขภาพไม่รวมส่วนของการประกันภัย COVID-19 น่าจะมีโอกาสเติบโตเพิ่มขึ้นจากความตื่นตัวในการบริหารความเสี่ยงด้านสุขภาพ ในขณะที่การประกันภัย COVID-19 อาจจะเติบโตลดลง ส่วนการประกันภัยการเดินทางจะมีโอกาสเติบโตเพิ่มขึ้นจากฐานที่ต่ำมากในปี 2563 อย่างไรก็ตาม การเติบโตดังกล่าวจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับปัจจัยหลาย ๆ ด้าน