แกงพื้นบ้าน-ยำปากแตก- ซอสกะเพรา ช่องว่างทางการตลาดกับไอเดียคนรุ่นใหม่

1588

อาหารไทยมีชื่อเสียงมานาน เป็นที่นิยมของชาวต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นเอกลักษณ์ด้านรสชาติ  ความละเอียดประณีตบรรจง และที่สำคัญมีประโยชน์ต่อสุขภาพ อาหารไทยหลายอย่างเป็นที่รู้จักและขึ้นชื่อติดเมนูระดับโลก อาทิ ต้มยำกุ้ง ผัดไทย และแกงเขียวหวาน เป็นต้น

นายณรงค์  แผ้วพลสง  เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญดังกล่าว จึงได้ส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้เรียนอาชีวศึกษาคิดค้นนวัตกรรมในการทำอาหารไทยให้เป็นอาหารจานโปรดของทั่วโลก โดยมีรสชาติต้นตำรับไทยแท้ดั้งเดิม ไม่ผิดเพี้ยน สามารถปรุงที่ไหนก็ได้  เกิดความสะดวก รวดเร็ว และสอดรับกับวิถีชีวิตที่รีบเร่งในปัจจุบัน จนได้ผู้ผ่านการคัดเลือกเป็น 1 ใน 20 ทีมธุรกิจดีเด่นของโครงการอาชีวศึกษา

ผงแกงพื้นบ้านอีสานทางเลือกใหม่

“น้องแพรว” หรือ นางสาวปริศนา  พูนกระโทก นักศึกษาชั้นปวช.3  สาขาวิชาบัญชี วิทยาลัยเทคนิค              พิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี ผู้จัดการธุรกิจผงแกงพื้นบ้านอีสาน All in one เล่าว่า ผงแกงพื้นบ้านอีสาน All in one  สามารถนำมาประกอบอาหารเป็นแกงพื้นบ้านรสชาติต้นตำรับแบบไทยอีสานแท้ๆ เพียงแค่ฉีกซอง ต้มน้ำให้เดือดแล้วใส่ผงแกงฯ เติมผักและเนื้อสัตว์ที่ต้องการก็จะได้แกงพื้นบ้านต้นตำรับอีสานพร้อมรับประทาน โดยผงแกงฯ สามารถทำได้หลากหลายเมนู อาทิ แกงหน่อไม้ แกงอ่อม แกงขี้เหล็ก เป็นต้น ซึ่งส่วนประกอบหลักของแกงพื้นบ้านอีสาน All in one คือผักพื้นบ้านปลอดสารพิษที่ปลูกเองในท้องถิ่น ได้แก่ ใบย่านาง หอมแดง ใบแมงลัก พริก และตะไคร้ นำมาอบด้วยความร้อนอุณหภูมิสูง 200 องศาเซลเซียส แล้วคลุกเคล้ากับเครื่องปรุงรสด้วยสูตรเด็ดเฉพาะ แปรรูปออกเป็นผงแกงพื้นบ้านอีสาน ขนาด 70  กรัม สามารถรับประทานได้  2 – 3 คน บรรจุซองด้วยระบบสูญญากาศซึ่งทำให้เก็บรักษาได้นานถึง 6 เดือนโดยไม่ใส่วัตถุกันเสีย ผ่านการตรวจสอบด้านความสะอาด ถูกหลักอนามัย จากโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลกุดชมพู  อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี และผ่านการรับรองค่าความชื้นจากคณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ปัจจุบันผงแกงพื้นบ้านอีสาน All in one มียอดสั่งซื้อไม่ต่ำกว่า 100 ซองต่อเดือน ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นคนไทยภาคเหนือและภาคอีสานที่ติดใจในรสชาติแซ่บนัวแบบต้นตำรับอีสานแท้ ๆ และไม่ค่อยมีเวลาในการประกอบอาหาร หรือคนไทยที่กำลังจะเดินทางไปอาศัยอยู่ในต่างประเทศ โดยอนาคตวางแผนพัฒนาผลิตภัณฑ์ผงแกงพื้นบ้านอีสานให้เป็นแบบกึ่งสำเร็จรูปคือมีผักและเนื้อสัตว์บรรจุอยู่ในซองพร้อมรับประทานได้เลย ตอบโจทย์ของคนยุคใหม่ที่มีชีวิตรีบเร่ง ทั้งนี้

ยำปากแตก แซ่บจัดจ้าน

นางสาวปวันรัตน์  วันมา  นักศึกษาชั้นปวส. 1 สาขาวิชาการตลาด วิทยาลัยอาชีวศึกษาอุตรดิตถ์ผู้จัดการธุรกิจน้ำยำสำเร็จรูปพร้อมทาน ตรา ยำปากแตก เล่าว่า ตนเป็นคนชอบทานยำรสแซ่บจัดจ้าน พอไปซื้อมาทานแล้วรสชาติไม่ถูกใจ เลยลองทำทานเองปรากฏว่าอร่อยถูกใจ จากนั้นเลยลองทำให้ครอบครัวและเพื่อนๆ ได้ชิมบ้าง ซึ่งทุกคนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าแซ่บอร่อยมาก และแนะนำด้วยว่าตนน่าจะลองทำขายดู ซึ่งช่วงนั้นตนก็มีเงินไม่ค่อยพอใช้และไม่อยากรบกวนขอพ่อแม่ จึงตัดสินใจลองเปิดร้านเล็กๆขายลูกชิ้นลวกแถวหน้าวัดหนองผา อำเภอเมืองจังหวัดอุตรดิตถ์ ชื่อร้าน “ยำปากแตก By เจ๊ฟ้า” โดยขายลูกชิ้น 6 ไม้ ราคา 30 บาทขึ้นไป บริการยำให้ฟรี ผลปรากฏว่า ลูกค้าชอบติดใจกันมาก บอกว่าน้ำยำแซ่บมาก ขายไปได้ 2 – 3 วัน ก็มีลูกค้ามาขอซื้อน้ำยำกลับไปทำทานเองที่บ้าน ยิ่งเมื่อตนเอาข้อมูลและภาพไปประชาสัมพันธ์เชิญชวนโดยโพสต์ลงในเฟสบุ๊คที่เพจ “ของกินอุตรดิตถ์” เสียงตอบรับดีมาก คนสนใจสั่งซื้อกันเป็นจำนวนมาก ตนจึงใช้วิธีให้ลูกค้าสั่งซื้อล่วงหน้า แล้วบริการส่งให้ลูกค้าถึงที่ แต่ก็ยังทำขายให้ลูกค้าไม่ทันเพราะต้องเรียนด้วย หลังๆ ลูกค้ารอยำลูกชิ้นไม่ไหว เลยหันมาขอซื้อน้ำยำสำเร็จรูปนำกลับไปยำทานเองที่บ้าน และในเวลานั้นคุณครูที่วิทยาลัยอาชีวศึกษาอุตรดิตถ์ เห็นธุรกิจตนไปได้ด้วยดี จึงมาชวนให้เขียนแผนธุรกิจส่งในนามศูนย์บ่มเพาะผู้ประกอบการอาชีวศึกษา วิทยาลัยอาชีวศึกษาอุตรดิตถ์ และให้เงินลงทุนสนับสนุนธุรกิจ ตนจึงนำเงินทุนสนับสนุนไปซื้ออุปกรณ์เครื่องจักรเพื่อทำน้ำยำสำเร็จรูปพร้อมทาน ภายใต้ชื่อแบรนด์ “ยำปากแตก” ที่ได้ผ่านการคัดสรรวัตถุดิบจากธรรมชาติโดยไม่ใส่วัตถุกันเสีย ผ่านการทดสอบจากศูนย์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ ว่าไม่พบเชื้อราและจุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดโรค ด้วยส่วนผสมที่ลงตัวจึงเป็นน้ำยำที่รสชาติจัดจ้าน อร่อยได้หลากหลายเมนู บรรจุในขวด ขนาด  200 มิลลิลิตร และสามารถเก็บไว้ได้นานกว่า 15 วันโดยแช่ไว้ในตู้เย็น มียอดสั่งซื้อต่อเดือนกว่า 300 ขวด คิดเป็นยอดขายราว 9,000 – 10,000 บาทต่อเดือน และได้เพิ่มพันธมิตรทางธุรกิจโดยได้เข้าร่วมกับ Food Panda ให้เป็นผู้ช่วยในการบริการส่งสินค้าให้กับลูกค้าในอำเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์

‘ซอสกะเพรา’ ต่อยอดเมนูฮิต

“น้องแพ็ค” หรือ นางสาวพาณิภัค  ทิมหอม  นักศึกษาชั้นปวส.1 สาขาอาหารและโภชนาการ วิทยาลัยอาชีวศึกษากาญจนบุรี  เล่าถึง ธุรกิจซอสกะเพราปรุงรสสำเร็จ ตรา เลิศรส ว่า ผัดกะเพราเป็นหนึ่งในเมนูที่นิยมทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ เป็นอาหารที่อยู่คู่กับคนไทยมานาน ซึ่งถ้าจะรับประทานอาหารตามสั่ง ผู้บริโภคส่วนมากจะนึกถึงข้าวผัดกะเพราเป็นอันดับแรก เพราะเป็นเมนูง่าย ๆ แต่ได้รสชาติ ทำทานเองได้ ตนและเพื่อน ๆ จึงได้ช่วยกันคิดค้นซอสกะเพราปรุงรสสำเร็จที่มีสูตรเฉพาะ โดยได้คัดสรรวัตถุดิบที่มีคุณภาพ สด สะอาด ส่วนผสมหลักสำคัญที่ทำให้ซอสกะเพราปรุงรสสำเร็จรสชาติอร่อยจัดจ้านซึ่งเป็นจุดเด่นของผลิตภัณฑ์ก็คือพริก ซึ่งพวกตนเลือกใช้พริกกะเหรี่ยง พริกขี้หนูสวน และพริกจินดาแดง โดยพริกกะเหรี่ยงเป็นพริกที่ปลูกมากตามบริเวณชายแดนไทย-พม่า เฉพาะในจังหวัดกาญจนบุรี ให้ความเผ็ดร้อนแรง ส่วนพริกขี้หนูสวนจะให้ความเผ็ดแบบหอมหวน และพริกจินดาแดงให้ความเผ็ดพร้อมกับเพิ่มสีสันสวยงาม นำมาผสมรวมกับพระเอกอย่างใบกะเพราและเครื่องปรุงรสสูตรเฉพาะซึ่งไม่ใส่ผงชูรสและวัตถุกันเสีย ก็จะได้ซอสกะเพราปรุงรสสำเร็จผ่านกรรมวิธีในการผลิตที่สะอาดและมีคุณภาพ โดยได้ผ่านการรับรองจากสถาบันโภชนาการของมหาวิทยาลัยมหิดลว่าไม่พบเชื้อราและจุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดโรค เมื่อลูกค้านำไปผัดรวมกับเนื้อสัตว์ ก็จะได้กะเพรารสชาติเข้มข้นอร่อย คงที่ด้วยรสชาติกะเพราแท้ ๆ แม้เปลี่ยนมือคนปรุงก็ยังอร่อย ซึ่งปัจจุบัน ซอสกะเพราปรุงรสสำเร็จ ตรา เลิศรส มียอดสั่งซื้อต่อเดือนไม่ต่ำกว่า 200 ขวด ยอดขายเฉลี่ย 10,000 – 13,000 บาทต่อเดือน อนาคตวางแผนพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์เป็นแกลลอนสำหรับผู้ประกอบการร้านอาหารและเป็นแบบซองชนิดพกพาสะดวก