ปี 2547 ผมได้รับคำสั่งแต่งตั้งให้ไปประจำการเป็นผู้ช่วยทูตพาณิชย์ ณ สำนักงานการค้าในต่างประเทศ กรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย
ความรู้สึก ณ เวลานั้นคือ ตื่นเต้น ตกใจ และ ดีใจ
แน่นอนว่า การได้รับแต่งตั้งให้ไปประจำการในต่างประเทศสำหรับข้าราชการธรรมดาคนหนึ่งต้องถือว่าน่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง
โดยเฉพาะตำแหน่งในต่างประเทศที่ใครก็หมายปอง
เพียงแต่ว่าประเทศที่ได้รับมอบหมายให้ไปประจำการคือ..อินเดีย
ดินแดนที่ไม่ค่อยมีใครอยากไป (ถ้าเลือกได้) เมื่อเทียบกับประเทศที่เจริญแล้วอย่างจีน สิงคโปร์ ญี่ปุ่น สหรัฐฯ หรือ ยุโรป
อย่างไรก็ตาม! สำหรับผมอินเดียก็ไม่ได้ขี้เหร่สักเท่าไหร่
เนื่องจากผมเติบโตมาในต่างจังหวัด บนเกาะสมุย เริ่มต้นรับราชการในจังหวัดเล็กๆภาคอีสาน สมบุกสมบันมาพอสมควร อินเดียสำหรับผมจึงถือเป็นโอกาสใหม่ที่น่าสนใจ
อย่างน้อยก็เป็นประเทศที่มีอารยธรรมเก่าแก่ รุ่งเรืองมานาน
กระนั้นก็ตาม! พลันที่เท้าผมแตะสนามบินก็รู้สึกหดหู่ไม่น้อย
สภาพสนามบินนิวเดลีตอนนั้น ทั้งเก่าและซ่อมซ่อ มืดๆ ทึมๆ พื้นดำเลอะเทอะ ไม่มีสีสันชวนอภิรมย์เลย
พอผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองเดินไม่ถึง 50 เมตรออกมาข้างนอกแล้ว
ไม่มีบันไดเลื่อน ไม่มีมีร้านค้า
สำนักงานทูตพาณิชย์ในกรุงนิวเดลียุคนั้นมีบรรยากาศค่อนข้างเงียบเหงา แทบไม่ได้ทำกิจกรรมอะไร เพราะมูลค่าการค้าระหว่างอินเดียกับไทยน้อยมาก ประมาณ 2-3 พันบ้านบาทต่อปี ที่สำคัญสินค้าไทยที่ส่งออกไปขายอินเดียยังไม่เป็นที่สนใจของนักธุรกิจไทย
อินเดียจึงเปรียบเสมือนตลาดนอกสายตา
ทว่า! ในความไร้เสน่ห์กลับกลายเป็นความท้าทายสำหรับผม คนที่ชอบคิดและทำ
นอกกรอบ
ความคิดแรกที่ผุดขึ้นในสมองของผมในวันแรกที่เดินทางไปยังสำนักงานคือเราจะต้องนำประสบการณ์จากการทำงานกับสำนักงานพาณิชย์จังหวัดในเมืองไทยมาใช้ที่นี่
โดยเฉพาะการจัดงานแสดงสินค้า ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ผมถนัดและทำมาอย่างต่อเนื่อง อาทิ การเปิดตลาดพานักธุรกิจจังหวัดกาญจนบุรีบุกตลาดเมียนมา หรือ นำสินค้าของจังหวัดภูเก็ตไปจัดแสดงในประเทศสิงคโปร์
ผมมีความเชื่อมั่นว่าสินค้าที่นำไปเปิดตลาดต่างถิ่นมีโอกาสทำรายได้มากกว่าการขายในพื้นที่ของตัวเอง
ในขณะที่อินเดียเป็นประเทศใหญ่ มีประชากรมากกว่าพันล้านคน ถ้าเราสามารถทำให้สินค้าไทยเป็นที่รู้จักมากเท่าไหร่ ย่อมสร้างโอกาสทางการค้านำเงินเข้าประเทศได้มากเท่านั้น
ผมจึงมั่นใจ 100% ว่าที่นี่คือตลาดใหม่ของสินค้าไทย
ไม่ใช่ตลาดนอกสายตา!