ประกันภัยไทยวิวัฒน์ ชี้เบี้ยรับ 3 ไตรมาสเติบโต 20%

1348

ประกันภัยไทยวิวัฒน์ เผยผลรวม 3 ไตรมาส ปี 2561 ด้วยเบี้ยประกันภัยรับกว่า 3,106 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อนกว่า 505 ล้านบาท เติบโตถึง 20% และมีผลกำไรสำหรับงวด 9 เดือนเติบโตเกือบ 3 เท่าจากปีที่ผ่านมา

นายจีรพันธ์ อัศวะธนกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ประกันภัยไทยวิวัฒน์ จำกัด(มหาชน)  เปิดเผยถึงผลประกอบการจากการดำเนินงานในไตรมาสที่ 1-3  ของปี 2561  ว่าบริษัทสามารถทำยอดขาย รายได้และกำไร เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา โดยมีเบี้ยรับรวม 3 ไตรมาส 3,106.04 ล้านบาท มากกว่าปีก่อน 505.08 ล้านบาท พร้อมทั้งมีผลกำไรสำหรับงวด 9 เดือน 148.57 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อน 110.86 ล้านบาท ซึ่งปีนี้เบี้ยรับของบริษัทฯเติบโตมากขึ้นเกือบ 20% และผลกำไรเติบโตถึงเกือบ 3 เท่า โดยตลาดประกันภัยโดยรวมเติบโตประมาณ 7% จากภาพรวมธุรกิจประกันวินาศภัยที่มีแนวโน้มการเติบโตค่อนข้างดี มีผลมาจากทั้งภาพรวมเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มที่ดีขึ้น มีการขยายตัวของการนำเข้าและส่งออกสินค้า รวมถึงการคงอัตราดอกเบี้ยที่ยังคงอยู่ในระดับต่ำ ประกอบกับค่ายรถยนต์ต่างๆ มีการออกรถรุ่นใหม่ๆ เข้ามาในตลาดทำให้ตลาดรถยนต์มีความคึกคักและ รัฐก็มีการส่งเสริมให้มีการลงทุน และมีมาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย ส่งผลให้ตลาดโดยรวมค่อนข้างเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนั้นมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องในเรื่องคุณภาพของผลิตภัณฑ์และการบริการที่เหนือกว่า โดยยึด Insights ของผู้บริโภคเป็นหลักสำคัญ และนำเทคโนโลยีใหม่มาช่วยเสริมสร้างนวัตกรรมประกันภัยให้ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคมากขึ้น ส่งผลให้ผลประกอบการมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด

โดยในปี 2561 ได้นำนวัตกรรมประกันภัยมาเปลี่ยนโฉมวงการประกันภัยสู่ตลาดโดยใช้เทคโนโลยี และการคิดค้นผลิตภัณฑ์ที่แตกต่างออกไป ให้ผู้ใช้บริการมีทางเลือกมากขึ้น พร้อมตอบโจทย์ Lifestyle ลูกค้าในการดำเนินชีวิตในโลกปัจจุบัน โดยผลิตภัณฑ์ที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องมาจากปีก่อนคือประกันรถเติมเงินไทยวิวัฒน์  หรือประกันรถเปิดปิด ส่วนอีกผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่ในปีนี้เป็นที่พูดถึงมากเช่นกันก็คือ ประกันภัยการเดินทางไทยวิวัฒน์  โดยได้ต่อยอดผลิตภัณฑ์นี้ด้วยการนำความต้องการของลูกค้ามาสร้างผลิตภัณฑ์รูปแบบใหม่ที่ออกนอกกรอบเดิมของการประกันภัยการเดินทางทั่วไป นั้นก็คือประกันเดินทาง เปิด-ปิด ที่ใช้ได้ผ่าน Application “Thaivivat Travel” เป็นประกันเดินทางที่ตอบโจทย์นักเดินทางอย่างแท้จริง เพราะนอกจากจะมอบความคุ้มครองและการบริการที่ได้กล่าวเบื้องต้นแล้ว ยังมอบความยืดหยุ่นให้ลูกค้าสามารถขยายหรือลดวันเดินทางได้เอง พร้อมทั้งยังสามารถนำวันเดินทางที่เหลือมาใช้ในทริปต่อไปได้อีกด้วย พร้อมทั้งยังมี Features การเดินทางอีกมากมายใน application นี้ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างทริปการเดินทาง การดูแผนความคุ้มครอง หรือแม้แต่การโทรหาศูนย์ช่วยเหลือฉุกเฉิน ให้ความคุ้มค่าและความสะดวก ไม่ต้องลงทะเบียนใหม่ทุกครั้งที่เดินทาง จ่ายตามวันเดินทางจริง พร้อมสามารถ Top-up วันเดินทางผ่านแอพพลิเคชันได้เลยทันทีแม้อยู่ต่างประเทศ นอกจากนั้นยังให้ความสะดวกในการเดินทางไปและกลับจากสนามบิน ด้วยการมอบ Code ส่วนลด Grab อีกด้วย ถือว่าตรงใจ Lifestyle ผู้บริโภคเป็นอย่างมากทำให้ยอดขายประกันเดินทางในปีนี้เติบโตแบบก้าวกระโดด

ล่าสุดได้เปิดตัวประกันภัยสุขภาพ “ไทยวิวัฒน์ แอคทีฟ เฮลท์”  เป็นประกันสุขภาพที่สนับสนุนให้คนไทยหันมาออกกำลังกาย ดูแลสุขภาพไปด้วยกัน โดยใช้เทคโนโลยี IoTร่วมกับอุปกรณ์ Smart watch และนวัตกรรมด้าน Wearable Technology บน แอพพลิเคชัน “Thaivivat Health” ซึ่งได้สร้างแรงกระตุ้นให้ผู้บริโภคแอคทีฟ เพราะเมื่อยิ่งออกกำลังกายเบี้ยประกันก็จะยิ่งลดทุกเดือนสูงถึง 40% โดยที่ไม่ต้องรอรับส่วนลดนี้ในปีต่ออายุประกันอีกต่อไป แต่ลดให้เลยในเบี้ยเดือนถัดไป ผลิตภัณฑ์ Thaivivat Active Health นี้ให้ลูกค้าสามารถดูคะแนนความ Active ด้วยก้าวเดินและนาทีการออกกำลังกายได้เป็นรายวัน พร้อมสรุปส่วนลดค่าเบี้ยประกันทุกอาทิตย์และนำมาหักจากค่าเบี้ยที่มีการเรียกเก็บในเดือนถัดไปโดยทันที

นอกจากนั้น ลูกค้าประกันสุขภาพไทยวิวัฒน์ แอคทีฟ เฮลท์ ยังจะได้รับอุปกรณ์ Smart Watch Fitbit รุ่น Versa มูลค่า 8,500 บาทในทันทีเพื่อนำมาวัดความ Active โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มแต่อย่างใด โดยจับมือร่วมกับพันธมิตรต่างๆมากมาย  เพื่อมอบสิทธิประโยชน์ผู้ใช้บริการ

ด้านนายเทพพันธ์ อัศวะธนกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ  กล่าวว่า ในปีนี้ถือว่าเป็นอีกหนึ่งปีที่ประกันภัยไทยวิวัฒน์ประสบความสำเร็จ ในการพัฒนานวัตกรรมประกันภัยอย่างต่อเนื่องสำหรับทิศทางการดำเนินงานของปี 2562  คาดว่าจะมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น และเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยยังคงเน้นกลยุทธ์การรักษาอัตราการต่ออายุของลูกค้าปัจจุบัน และการนำนวัตกรรมใหม่ๆ มาช่วยในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคมากขึ้น รวมถึงร่วมมือกับพันธมิตรต่างๆ เพื่อมอบสิทธิประโยชน์ให้กับผู้ใช้บริการและขยายฐานลูกค้าแบบเจาะลึกให้เข้าถึงไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตประจำวันและพฤติกรรมของแต่ละบุคคล เนื่องจากปัจจุบันเทรนด์ผู้บริโภคส่วนใหญ่ให้ความสนใจด้านเทคโนโลยีหรือดิจิทัลมากขึ้นและถือว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญในการใช้ชีวิตประจำวัน